วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

(155) พิเคราะห์ "เต๋า" ลัทธินอกวิถีพุทธ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล

ผมขอนำเอาบทความที่มีผู้เขียนถึงลัทธิเต๋า โดยไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นเจ้าของบทความเดิมนี้ เนื่องจากผมไปอ่านเจอในเฟสบุ๊คของเพื่อน จึงอ้างอิงมาจากเฟสบุ๊คของคุณชวาลา ชัยมีแรง เพื่อนผู้นี้เคยเรียนศิลปกรรมเทคโนโคราชมาด้วยกัน ชวาลา ชัยมีแรง เป็นนักแต่งเพลงผู้มีชื่อเสียงของเมืองไทย เพลงดังที่รู้จักกันดีก็คือ เพลงแสงจันทร์ ที่ร้องโดยมาลีฮวนนานั้นแหละคือเพลงที่เขาแต่งขึ้น จึงขอบคุณเจ้าของบทความเดิม และคุณชวาลา ชัยมีแรง มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

 
ลัทธิเต๋า






เมื่อ 3,000 ปีมาแล้ว ชาวจีนตามลุ่มแม่น้ำเหลือง มีความเคารพธรรมชาติ เช่น ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ฯลฯ เป็นอย่างสูง แต่อันที่จริงเป็นการนับถือวิญญาณ (Spirits) ในระดับต่าง ๆ จากสูงมาหาต่ำ ได้แก่ วิญญาณแห่งสวรรค์ หรือ เซี่ยงตี่ (เทียนตี่) วิญญาณภาคพื้นดิน วิญญาณมนุษย์ และวิญญาณสัตว์ทั้งหลาย สวรรค์ถือว่าเป็นวิญญาณสูงสุด เป็นบรรพบุรุษของฮ่องเต้หรือพระจักรพรรดิ และเป็นหัวหน้าวิญญาณของบรรพบุรุษสวรรค์


ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นเจตจำนงของพระผู้เป็นเจ้า หรือ พูดให้ถูกที่สุดเป็นระเบียบแห่งเอกภพ ฮ่องเต้จะต้องทำการบูชาสวรรค์และแผ่นดินปีละครั้งประชาชนธรรมดาไม่อาจบูชาสวรรค์และโลกง่ายนัก จึงบูชาบรรพบุรุษผู้ล่วงลับของตนแทน เชื่อกันว่าวิญญาณของบรรพบุรุษยังดำรงอยู่ และจะคอยช่วยเหลือบุคคลที่กระทำการบูชาให้มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต มีการกินเลี้ยงฉลองอย่างมโหฬาร การบูชาเป็นเรื่องส่วนตัว และโดยตรง ไม่ใช่เพราะมีความกลัว หรือใช้เวทมนตร์คาถา ตามความคิดเก่าแก่ของจีน นักปราชญ์จีนโบราณ จึงพบคำอธิบายซึ่งยืนยันว่า ในเอกภาพนี้มีพลังหรือ อำนาจตรงกันข้ามอยู่ 2 อย่างคือ

1) หยาง (Positive Power) คือพลังบวกมีลักษณะสีแดง เป็นพลังเพศชาย พบในทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้ความอบอุ่น สว่างไสว มั่นคง สดใส เช่น ดวงอาทิตย์ ไฟ ฯลฯ
2) หยิน (Negative power) คือพลังลบ มีลักษณะสีดำ เป็นพลังเพศหญิง พบในทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้ความหนาวเย็น ความมืด อ่อนนุ่ม ชื้นแฉะ ลึกลับ และเปลี่ยนแปลง เช่น เงามืด น้ำ ฯลฯ

สวรรค์เป็นหยางแทบทั้งหมด และโลกเป็นหยินแทบทั้งหมดเช่นกัน จากการปะทะกันของสองสิ่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็อุบัติขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างมีพลังทั้งสองนี้ทั้งนั้น บางครั้งหยินอาจมีพลังแข็งแรง แต่บางครั้ง หยาง ก็มีพลังมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ท่อนไม้ ตามปกติเป็นหยิน แต่เมื่อโยนเข้าไปในกองไฟ ก็เปลี่ยนรูปเป็นหยางไป ในชีวิตคนหยินและหยางก่อให้เกิดความล้มเหลวและความสำเร็จเป็นต้น เช่นเดียวกัน หยางและหยินไม่ใช่เป็นตัวแทนของความดีและความชั่ว แต่ทั้งสองนี้มีความจำเป็นต่อกฏเกณฑ์และระเบียบของเอกภพ ทั้งสองนี้ไม่ใช่อยู่ในภาวะปะทะกันตลอดเวลา แต่ยามใดมีความสามัคคีกัน ทั้งสองอย่างนี้ก็เป็นสิ่งดีด้วยกัน

ในระหว่างคริสตวรรษที่ 5 - 6 มีศาสดาทางศาสนาและปรัชญาเกิดขึ้นอย่างน่าสังเกต ในอินเดียมีศาสดามหาวีรและพระพุทธเจ้า ในกรีกมีโสคราตีส ในเปอร์เซียมีโชโรอัสเตอร์ ในจีนมีเล่าจื้อ และขงจื้อ ท่านเล่าจื้อ (Lao tze) เป็นศาสดาของศาสนาเต๋า ซึ่งได้หล่อหลอมชีวิตและอัธยาศัยชาวจีนกว่า 2000 ปีมาแล้ว

ชื่อจริงของเล่าจื้อ คือ ลี - เออร์ (Li Uhr) เกิดเมื่อปี 604 ก่อนคริสต์ศักราช ที่จังหวัดโฮนานประเทศจีน ตอนเมื่อเกิดนั้น กล่าวกันว่า พอคลอดออกมาก็เป็นคนมีผมหงอกขาว และมีอายุ 72 ปีแล้ว ด้วยเหตุนี้แหละท่านจึงชื่อ เล่าจื้อ ซึ่งหมายถึง "เด็กแก่" หรือ "ครูเฒ่า" เมื่อทำงานเป็นบรรณารักษ์ ที่หอสมุดหลวง สำนักของเจ้าเมือง ปรากฎว่ามีชื่อเสียงโด่งดังเพราะมี อำนาจสติปัญญาที่ลึกซึ้งเว้นคนธรรมดาสามัญ ครั้งหนึ่งขงจื้อเดินทางมาพบ ท่านไม่ชอบคำสอนของขงจื้อเลย ถึงกับพูดว่า "กลับไปเสียเถิดและเลิกความหยิ่งความอยากของท่านเสียด้วยนะ"

เล่าจื้อ ไม่ชอบชีวิตหรูหรา แต่ทุกคนดูเหมือนจะมุ่งมั่นเพื่อเงินชื่อเสียงและอำนาจ ในขณะเดียวกันทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยการโกงกินกันอย่างมโหฬาร ด้วยเหตุนี้ วันหนึ่งท่านจึงขับเกวียนเทียมวัวดำสองตัวมุ่งไปยังภูเขาด้านทิศตะวันตก (ทิเบต?) พอถึงประตูเมืองนายประตูจำได้ จึงขอร้องให้ท่านหยุดพักเพื่อเขียนปรัชญาแห่งชีวิต ท่านจึงได้เขียนตำราที่โด่งดังของท่านเป็นอักษรจีน 5,500 ตัว จากนั้นก็ได้เดินทางต่อไป ปรากฏว่าพอถึงช่องแดนระหว่างภูเขา ท่านก็หายเข้าไปในก้อนเมฆ อะไรได้เกิดขึ้นก็ตามทีเถิด ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครเห็นท่านอีกเลย

คัมภีร์ที่เล่าจื้อเขียนนี้ มีชื่อว่า เต๋า - เต๋อ - จิง (Tao - the - jing) แปลว่า คัมภีร์แห่งมรรคและอำนาจ เล่าจื้อเริ่มต้นด้วยการตอบปัญหาที่ว่า "อะไรคือแก่นของเอกภพ?" "ถ้าเราสามารถมองไปเบื้องหลังปรากฎการณ์ของสิ่งทั้งหลายได้ และพบลักษณาการที่ชีวิตเกิดขึ้นแล้ว เราจะดำเนินชีวิตอย่างไร?" เล่าจื้ออธิบายว่า คำตอบมีอยู่พร้อมแล้วในว่า "เต๋า" คำนี้แปลกันมาว่า "ทาง", "มรรค" หรือ "แหล่งกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง" และเป็นการยากที่จะให้ความหมายเพราะคำ ๆ นี้ให้คำจำกัดความไม่ได้ แก่นแท้ของเต๋าลึกลับกว่าความลึกลับใด ๆ แต่ว่าก็มีบางสิ่งบางอย่างที่พอจะสังเกตได้ดังนี้

เต๋าไม่ใช่พระเป็นเจ้า แต่เป็นพลังหรืออำนาจที่หลั่งไหลท่วมท้นทุกสิ่งทุกอย่าง มีความรักทะนุถนอม แต่ก็ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือยึดสิ่งใดเป็นเจ้าของ เป็นสิ่งที่ทำงานอย่างนุ่มนวลและสงบเสงี่ยม โดยไม่ต้องพยายามสิ่งทั้งหลายก็จะเกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพ ให้พิจารณาตัวอย่างความเจริญก้าวไปแต่ละปีของฤดูทั้ง 4 ซึ่งดำเนินไปตามกฏเกณฑ์จากฤดูหนึ่งไปสู่ฤดูหนึ่ง ชนิดไม่ทันได้สังเกต ถึงอย่างนั้น ในแต่ละฤดูธรรมชาติทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ โดยปราศจากความวุ่นวายในภาวะเช่นนี้ เต๋าทำหน้าที่ประธานอย่างสงบและอย่างได้ผล (วู - เว) เพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี

ลัทธิเต๋ามีกำเนิดในประเทศจีน ต้นกำเนิดเดิมของลัทธิเต๋าไม่ใช่ลัทธิหรือศาสนา แต่เป็นปรัชญาธรรม เพื่อการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า โดยอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ตัดสิ่งที่เกิน ความจำเป็นของชีวิต รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีที่ฟุ่มเฟือยและฝืนกับธรรมชาติ โดยกลับไป มีชีวิตแบบง่าย ๆ ท่ามกลางความสงบของป่าเขาลำเนาไพร แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปปรัชญาเต๋าได้ถูก ดัดแปลงให้สอดคล้องกับความเชื่อดั้งเดิมของจีนซึ่งบูชาพระเจ้าประจำธรรมชาติ ผสมกับความเชื่อ ในทางไสยศาสตร์อื่น ๆ จึงเกิดเป็นลัทธิเต๋า ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดในตอนต่อไป

ปรัชญาเต๋าเป็นระบบความคิดที่โดดเด่นต่างจากปรัชญาอื่น ๆ ของจีน กล่าวคือ มีแนวคิดที่นอกจากจะเน้นหนักในทางจริยศาสตร์แล้ว ยังมีแนวคิดทางด้านปรัชญาการเมืองและทัศนะในทางอภิปรัชญาค้นหาอันติมสัจจ์ที่เป็นรากฐานแห่งสรรพสิ่ง ตรงจุดนี้เองที่ทำให้ปรัชญาเต๋ายังคงยืนหยัดท่ามกลางกระแสปรัชญาอื่น ๆ ของโลกในปัจจุบันแม้นวันเวลาจะผ่านพ้นไปนานก็ตาม ปรัชญาเต๋า ยังคงเป็นสิ่งที่น่าศึกษาค้นคว้าสำหรับผู้รักการแสวงหาความจริง

ก่อนที่จะกล่าวถึงระบบแนวความคิดของปรัชญาเต๋า เราควรศึกษาชีวประวัติของผู้ให้กำเนิดนั่นคือท่าน "เหล่าจื้อ" ผู้ซึ่งมีชีวประวัติยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่อาจจะสันนิษฐานความเป็นมาของท่านจากบันทึก "ซื่อกี่" ซึ่งเป็นบันทึกที่รวบรวมโดยซิเบ๊เชียง นักประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ฮั่น แม้นว่าบันทึกนี้จะมีบางตอนที่ขัดแย้งทำให้เกิดความคลุมเคลือก็ตาม แต่เราอาจจะสรุปได้ว่าท่านเหลาจื๊อเกิดในช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล เป็นชาวรัฐฌ้อ อำเภอหู ตำบลหลี หมู่บ้าน เค้กยินลี้ ชื่อเดิมของท่านคือ "ยื้อ แซ่ลี้" ส่วนชื่อเหลาจื๊อเป็นเพียงฉายาที่นิยมเรียกกันเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า "อาจารย์ผู้เฒ่า" ท่านเคยรับราชการในราชสำนักจิว โดยดำรงตำแหน่งเป็นบรรณารักษ์ใหญ่แห่งหอพระสมุดต่อมาได้เห็นความเสื่อมโทรมของราชวงศ์จิวจึงออกจากราชการจาริกไปถึงด่านแห่งหนึ่งก็ถูกนายด่านขอร้องให้เขียนคัมภีร์ ซึ่งท่านได้แต่งให้และได้ลาจากไปโดยไม่มีผู้ใดทราบ

คัมภีร์ที่สำคัญที่สุดของลัทธิเต๋าคือ "เต๋าเต๋อจิง" ซึ่งเชื่อกันว่าท่านเหลาจื๊อเขียนขึ้น เมื่อประมาณศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล มีลักษณะเป็นหนังสือขนาดเล็กที่บรรจุถ้อยคำมากกว่า 5,000 คำ มีทั้งหมด 81 บท และนิยมแปลออกมาในรูปของร้อยกรอง เป็นคัมภีร์ที่มีผู้สนใจแปลเป็นภาษาอังกฤษมากรองลงจากคัมภีร์ไบเบิลและแปลเป็นภาษาอื่น ๆ อีกหลายภาษา จึงเป็นหนังสือของคนจีนที่มีผู้รู้กันดีมากที่สุดเล่มหนึ่ง

โวหารที่ใช้ในคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงนั้นมีสำนวนลึกซึ้งยากแก่การเข้าใจ เพราะเขียนไว้ด้วยประโยคสั้น ๆ แต่กินความหมายพิสดารซึ่งจะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และจะต้องมีการอธิบาย อย่างยืดยาวจึงจะเข้าใจได้ ดังนั้นคัมภีร์นี้จึงมีนักปราชญ์เป็นจำนวนมากในสมัยต่อมา พยายามที่จะแต่งอรรถกถาและอรรกถาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดที่ท่านเสถียร โพธินันทะ (เสถียร โพธินันทะ. 2514 : 180) ได้กล่าวไว้คือ อรรถกถาเต๋าเต๋อจิงที่เขียนโดย เฮ่งเพี๊ยก ซึ่งเป็นปราชญ์ที่มีชีวิต ในสมัยสามก๊ก (ประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 8)

ดังที่ได้ทราบมาแล้วว่า คัมภีร์เต๋าเต๋อจิงนี้มี 2 ภาค คือ "เต๋าจิง" และ "เต๋อจิง" เต๋าจิงเริ่มตั้งแต่บทที่ 1 - 37 อธิบายถึงความคิดที่เกี่ยวกับอันติมสัจจ์ และมรรควิธีแห่งการเข้าถึงอันติมสัจจ์นั้น โดยเริ่มต้นอธิบายตั้งแต่เต๋าคืออะไร ธรรมชาติของเต๋า การเกิดขึ้นของสิ่งที่เป็นสมมติบัญญัติหลักจริยธรรมของชีวิต ไปจนกระทั่งการอธิบายถึงวิถีทางเข้าถึงเต๋า ส่วนบทที่ 38 - 81 เป็นการอธิบายว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ลักษณะการเมืองการปกครองที่ดีเป็นอย่างไร ลักษณะของผู้เป็นปราชญ์ที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข และประเทศในอุดมคตินั้นควรมีลักษณะอย่างไร

ความจริงสุงสุดที่ลัทธิเต๋าให้ความเคารพนับถือ คือ "เต๋า" ซึ่งเป็นเอกภาพของสรรพสิ่งเป็นที่เกิดและดับของสิ่งทั้งหลาย แต่เอกภาพนี้เป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่มีเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุดโดยความหมายของคำว่า "เต๋า" ซึ่งเป็นเอกภาพของสรรพสิ่งทั้งมวลนี้มีความหมายว่า "หนทาง หรือวิธี" ซึ่งเป็นหนทางที่ไร้ทาง นั่นคือ เราไม่สามารถเห็นหนทางนี้ด้วยการเห็น ไปไม่ได้ด้วยการเดินแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นหนทางที่มีจุดหมายแฝงอยู่ในตัวเอง เป็นบ่อเกิดและเป็นจุดหมายสุดท้ายของเอกภพ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดหรือเหตุผล นอกจากการเปรียบเทียบ แต่การเปรียบเทียบก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ถึงเต๋าตัวจริง ดังคำกล่าวของเหลาจื๊อในเต๋าเต๋อจิง บทที่ 1 ซึ่งพจนา จันทรสันติ (พจนา จันทรสันติ. 2523 : 53) ได้แปลมาจาก "ภูมิปัญญาจีน" (The Wisdom of China) ของหลินยู่ถั่ง โดยแปลความไว้ว่า

"........เต๋าที่อธิบายได้มิใช่เต๋าอันอมตะ
ชื่อที่ตั้งให้กันได้ ก็มิใช่ชื่ออันสูงส่ง
เต๋านั้นมิอาจอธิบาย และมิอาจตั้งชื่อ
เมื่อไร้ชื่อทำฉันใด จักให้ผู้อื่นรู้
ข้าพเจ้าขอเรียกสิ่งนั้นว่า "เต๋า" ไปพลาง ๆ
.....................................
บ่อเกิดนั้นสุดแสนลึกล้ำ
ความลึกล้ำสุดแสนนั้น
คือประตูที่เปิดไปสู่ความรู้แจ้งแห่งสรรพชีวิต"

นอกจากนี้แล้ว ในเต๋าเต็กเก็งบทที่ 6 ได้ทำให้เราเห็นความยิ่งใหญ่ของเต๋ามากขึ้น เพราะจากเอกภาพนี้เองที่เป็นบ่อเกิดของฟ้าและดิน พจนา จันทรสันติ (2523 : 61) ได้แปลความไว้ว่า

"อหิทธานุภาพอันล้ำลึกนั้นมิเคยดับสูญ
เป็นมารดาอันมหัศจรรย์
จากทวาราแห่งมารดานี้เอง
ได้ก่อเกิดรากฐานแห่งฟ้าและดิน"

สำหรับในบทที่ 25 ได้ทำให้เราเห็นและเข้าใจในอันติมสัจจ์นี้ได้ดียิ่งขึ้นถึงความยิ่งใหญ่ที่มีอยู่เป็นอยู่ด้วยตนเอง และจะมีอยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แม้นว่าสิ่งทั้งหลายจะสูญสิ้นไปหมดแล้วก็ตามแต่เต๋าก็ยังอยู่ชั่วนิจนิรันดร พจนา จันทรสันติ (2523 : 95) ได้แปลความไว้ว่า

"ก่อนดำรงอยู่ของฟ้าและดิน
มีบางสิ่งบางอย่างมืดมัวเคลือบคลุม
เงียบงันโดดเดี่ยว
อยู่เพียงลำพัง ไม่แปรเปลี่ยน
เป็นอมตะหมุนเวียนไม่หยุดยั้ง
มีค่าควรแก่การเป็นมารดาของสรรพสิ่ง
ข้าพเจ้าไม่ทราบชื่อสิ่งนั้
แต่ถ้าถูกบังคับให้เรียก
ก็จะเรียกว่า "เต๋า"
และจะให้ชื่อว่า "ยิ่งใหญ่"
ยิ่งใหญ่หมายถึงความต่อเนื่อง
ความต่อเนื่องหมายถึงความยาวไกล
ความยาวไกลหมายถึงการกลับสู่ต้นกำเนิดเดิม
ดังนั้นเต๋าจึงยิ่งใหญ่
ฟ้าจึงยิ่งใหญ่
ดินจึงยิ่งใหญ่
ปราชญ์จึงยิ่งใหญ่
นี่คือความยิ่งใหญ่สี่ชนิดในจักรวาล
และปราชญ์ก็นับเป็นหนึ่งในนั้น
คนทำตามกฎแห่งดิน
ดินทำตามกฎแห่งฟ้า
ฟ้าทำตามกฎแห่งเต๋า
เต๋าคงอยู่และเป็นไปด้วยตนเอง"

ดังได้กล่าวมาแล้วนี้เราอาจสรุปได้ว่าเต๋าเป็นธรรมชาติที่มีอยู่เหนือถ้อยคำ จึงยากที่จะอธิบายให้ผู้คนเข้าใจได้ง่าย แต่มิได้หมายความว่าเราจะไม่มีโอกาสเข้าถึงเต๋า การเข้าถึงเต๋าและรู้จักเต๋ากระทำได้ด้วยการบำเพ็ญเพียร ทางจิตให้สงบจากอารมณ์ภายนอกทั้งอารมณ์ที่น่ายินดีและไม่น่ายินดี ไม่หลงเพลิดเพลินกับอารมณ์ที่ตนได้เข้าไปสัมพันธ์เกี่ยวข้องแต่ควบคุมจิตให้อยู่ในภาวะบริสุทธิ์ ดังคำกล่าวในเต๋าเต๋อจิงบทที่ 10 ความว่า

"รักษาดวงวิญญาณให้พ้นจากความมัวหมอง
ทำจิตให้แน่วนิ่งเป็นหนึ่งเดียวได้หรือไม่
หายใจอย่างละเอียดอ่อนแผ่วเบา
เหมือนลมหลายใจของเด็กอ่อนได้หรือไม่
ชำระล้างญาณทัศนะให้หายมืดมัว
จนอาจแลเห็นกระจ่างชัดได้หรือไม่
มีความรักและปกครองอาณาจักร
โดยไม่เข้าไปบังคับบัญชาได้หรือไม่
ติดต่อรับรู้ และเผชิญทุกข์สุข
ด้วยความสงบนิ่งไม่ทุกข์ร้อนได้หรือไม่
แสวงหาความรู้แจ้ง
เพื่อละทิ้งอวิชชา ได้หรือไม่
ให้กำเนิด ให้การบำรุงเลี้ยง
ให้กำเนิด แต่มิได้ถือตนเป็นเจ้าของ
กระทำกิจ แต่มิได้ยกย่องตนเอง
เป็นผู้นำในหมู่ตน แต่มิได้เข้าไปบงการ
เหล่านี้คือคุณความดีอันลึกล้ำยิ่ง"
(พจนา จันทรสันติ. 2523 : 67)


การรักษาจิตให้บริสุทธิ์ คือ การเข้าถึงตัวตนภายในอันเป็นความรู้ที่ประเสริฐยิ่งกว่าการแสวงหามากเท่าใดก็ยิ่งรู้น้อยเท่านั้น เพราะจิตยิ่งพอกพูนกิเลสมากขึ้น ความอยาก ความต้องการและความยึดถือก็ทวีขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดมนุษย์ต้องตกเป็นทาสและถูกทำลายเพราะอวิชชานี้ ด้วยเหตุนี้นักปราชญ์เต๋า ก็คือผู้รู้แจ้ง ความรู้ภายในจึงสามารถสลัด ละ ปล่อยวางกิเลสตัณหาและหมด ซึ่งความยึดถือยึดติดในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
เราอาจสรุปได้ว่าคำสอนของเต๋ามุ่งให้บุคคลเข้าสู่สาระแห่งแก่นแท้โดยตรง โดยละความยึดถือมั่นในสิ่งทั้งปวง เป็นผู้อยู่พ้นจากความสงสัย ไปพ้นจากการแบ่งแยก ไม่ให้คุณค่าแก่สิ่งที่คนส่วนมากยึดถือ สลัดความหยิ่งยะโสโอหังออกไป สลัดความฉลาดและความเป็นคนเจ้าเหตุผล แต่หวนกลับมาดำรงชีวิตอยู่กับธรรมชาติ มีชีวิตที่เรียบง่าย มีใจที่บริสุทธิ์ปราศจากความอยากความต้องการในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ความสงบจึงจะเกิดขึ้นได้ ดังคำกล่าวในเต๋าเต๋อจิงบทที่ 37 ความว่า

"เต๋าไม่เคยกระทำ
แม้กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็สำเร็จลุล่วงลง
หากกษัตริย์และเจ้านครสามารถรักษาเต๋าไว้ได้
โลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยความต่อเนื่อง
เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไป และเกิดการกระทำต่าง ๆ ขึ้น
จงปล่อยให้ความเรียบง่ายแต่บรรพกาลเป็นผู้ควบคุมการกระทำ
ความเรียบง่ายแต่บรรพกาลนี้ไร้ชื่อ
มันช่วยขจัดความอยากทั้งปวง
เมื่อขจัดความอยากได้
ความสงบย่อมเกิดขึ้น
ดังนั้นโลกย่อมถึงซึ่งสันติสุข"
(พจนา จันทรสันติ. 2523 : 67)

อย่างไรก็ตามรากฐานสำคัญที่จะนำบุคคลไปสู่ชีวิตที่เรียบง่ายนั้น ท่านเหลาจื๊อได้กล่าวไว้มี 3 ประการ คือ

1. การมีความรัก จะช่วยให้เรากล้าหาญ
2. การทำแต่พอควร จะทำให้เราเป็นคนเรียบง่ายมีจิตใจกว้างขวาง
3. การไม่เป็นเอกในโลก ทำให้เรารู้จักเป็นผู้ตามที่ดี

คุณธรรม 3 ประการนี้เป็นหลักปฏิบัติที่จะทำให้บุคคลได้รับชันะและปลอดภัยจากความทุกข์ทั้งปวงในโลก ซึ่งเราจะศึกษาได้จากเต๋าเต็กเก็งบทที่ 67 เต๋าเต๋อจิง บทที่ 80

"หวังให้ประเทศเล็กที่มีพลเมืองน้อย
มีอาหารพอที่จะเลี้ยงดูพลเมือง
มากกว่าที่เขาต้องการถึงสิบเท่าร้อยเท่า
ให้ประชาชนเห็นคุณค่าของชีวิต
และไม่ท่องเที่ยวพเนจรไปไกล
ถึงแม้จะมีพาหนะเรือและรถ
ก็ไม่มีใครปรารถนาจะขับขี่
ถึงแม้จะมีเกราะและอาวุธ
ก็ไม่มีโอกาสจะใช้
ให้กลับไปใช้การจดจำเรื่องราว
ด้วยการผูกเงื่อนแทนการเขียนหนังสือ
ให้เขานึกว่าอาหารพื้น ๆ นั้นโอชะ
บ้านเรือนธรรมดานั้นสุขสบาย
ประเพณีวิถีชีวิตนั้นน่าชื่นชม
ในระหว่างเพื่อนบ้านนั้นต่างเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
จนอาจได้ยินไก่ขันสุนัขเห่าจากข้างบ้าน
และตราบจนวันสุดท้ายของชีวิ
จะไม่มีใครได้เคยออกไปนอกประเทศของตนเลย"
(พจนา จันทรสันติ. 2523 : 67)

บทที่ 80 นี้ แสดงให้เห็นถึงประเทศในอุดมคติของท่านเหลาจื๊อที่ต้องการให้มีรูปแบบที่เรียบง่ายไม่เนนความเป็นวัตถุนิยม แต่ส่งเสริมทางด้านจิตวิญญาณและให้คุณค่าของชีวิต วิถีชีวิตที่เรียบง่ายนี้จะทำให้ผู้คนมีความสุขในประเทศของตน โดยไม่จำเป็นต้องออกไปแสวงหาที่อื่น

ประเทศในอุดมคติของท่านเหลาจื๊อเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ที่มีพลเมืองน้อย เพราะท่านไม่เห็นด้วยกับการล่าอาณานิคม หรือการแสวงหาดินแดนเป็นเมืองขึ้น เพราะจะทำให้ประเทศใหญ่โตเกินไปจนยากที่จะปกครองได้ทั่วถึง และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกฎบัญญัติข้อบังคับต่าง ๆ ออกมามากมาย ประเทศน้อย คนน้อย ความสิ้นเปลืองทางเศรษฐกิจย่อมน้อยอันเป็นไปตามสัดส่วนการปกครองจึงเป็นไปได้ง่ายกว่า ทฤษฏีนี้เรียกว่า "เซียวก๊กกั้วมิ้น" ท่านเสถียร โพธินันทะ (2514 : 214) แปลว่า "ทำให้เป็นรัฐเล็ก ๆ มีพลเมืองน้อย ๆ " ความคิดทางการเมืองของท่านเหลาจื๊อนี้ นักทฤษฏีการเมืองในโลกปัจจุบันบางท่านอาจจะไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศมหาอำนาจที่มีพื้นดินและจำนวนประชากรมาก การปกครองแบบเสรีนิยมและธรรมชาตินิยมของท่านเหล่าจื๊อจึงยากที่จะปฏิบัติได้ในยุคปัจจุบันจนกวาเมื่อใดก็ตามทโลกที่เราอยู่นี้มีมนุษย์ที่หมดความเห็นแก่ตัวแล้ว เมื่อนั้นทฤษฎีทางการเมืองแบบเซียวก๊กกั้วมิ้นอาจจะถูกนำมาใช้ปฏิบัติให้เห็นจริงได้

ก่อนกำเนิดปรัชญาเต๋านั้นชาวจีนเคยนับถือธรรมชาติ เพราะเขาสังเกตเห็นว่าธรรมชาติมีคุณลักษณะสำคัญ 3 ประการคือ

1. ความเป็นวัฎจักรที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปอย่างเป็นระบบ เช่น การเกิดขึ้นของกลางวันและกลางคืน การหมุนเวียนเปลี่ยนไปของฤดูกาล ทำให้เกิดสภาพอากาศที่หลากหลายกันออกไปในแต่ละปี
2. มีการเกิดและดับตลอดเวลาเช่นความสว่างไสว และความมืดของพระจันทร์ทำให้เกิดข้างขึ้นข้างแรม
3. ความเป็นเอกภาพเดียวกันแม้นว่าเราจะเห็นว่า ธรรมชาติที่ปรากฎแก่ตามีความหลากหลายนับไม่ถ้วน ทำให้เกิดคุณสมบัติเฉพาะตัวบางอย่างก็คล้ายคลึง บางอย่างก็ตรงกันข้ามกัน แต่แท้จริงแล้วทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเอกภาพเดียวกัน

ด้วยสาเหตุดังได้กล่าวมาแล้วนี้ จึงทำให้นักปราชญ์จีนหลายท่านพยายามค้นหาความลี้ลับของธรรมชาติ ทำให้แนวคิดในเรื่องวิญญาณและผีได้แทรกเข้ามาปะปน จนเกิดความคิดที่ว่ามีวิญญาณแฝงอยู่ในธรรมชาติ วิญญาณที่ว่านี้มีตั้งแต่วิญญาณที่อยู่ในท้องฟ้าซึ่งเรียกว่าเทพแห่งฟ้า หรือเทพแห่งสวรรค์ (ภาษาจีนมีคำเรียกพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นี้ว่า "เทียน") ไล่ลงมาจนกระทั่งถึงเทพที่อยู่บนพื้นดิน ภูเขา ต้นไม้ ลำธาร แม่น้ำ ฯลฯ ลักษณะความเชื่อเช่นนี้เป็นแบบพหุเทวนิยม (Polytheism) กล่าวคือ เทพเจ้าแต่ละองค์ต่างมีฤทธิ์อำนาจ ถ้ามนุษย์คนใดต้องการบรรลุถึงซึ่งความปรารถนาของตน จะต้องกราบไหว้เซ่นสรวงเทพเจ้าแต่ละองค์แล้วแต่กรณี บางกลุ่มชนอาจจะยกย่องเทพเจ้าองค์หนึ่งให้ยิ่งใหญ่กว่าองค์อื่น ๆ แต่ในขณะเดียวกันเทพองค์ที่ยิ่งใหญ่นี้อาจจะถูกลดความสำคัญลงสำหรับอีกกลุ่มชนหนึ่

อย่างไรก็ตามโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ชาวจีนในสมัยโบราณนั้นนิยมยกย่องเทพแห่งสวรรค์ให้เป็นใหญ่กว่าเทพองค์อื่น ๆ เป็นเทวาดิเทพที่ต้องมีการเซ่นสรวงบูชาอยู่เสมอ และการทำพิธีกรรมเซ่นสรวงบูชานั้นสามัญชนไม่วสามารถกระทำได้ นอกจากพระมหากษัตริย์เท่านั้น เพราะเชื่อกันว่าพระองค์เป็นโอรสแห่งสวรรค์จึงมีหน้าที่ที่จะต้องกระทำการเซ่นไหว้เป็นประจำทุกปี จนกลายเป็นรัฐพิธีที่ใหญ่โตจะละเว้นมิได้เลย ในการเซ่นไหว้แต่ละครั้งนิยมฆ่าสัตว์นำมาสังเวยพร้อมกับข้าวปลาอาหาร รวมทั้งสุรา ที่มีรสเป็นเลิศ การทำพิธีกรรมแต่ละครั้งจะมีความประณีตในการถวายของบูชา เพราะมีผลต่อความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฏณ์ ปีใดที่เกิดความอดอยากแห้งแล้ง ยิ่งต้องมีการเซ่นไหว้เป็นพิเศษ มิฉะนั้นแล้วพวกที่คิดร้ายต่อราชบัลลังก์อาจยกขึ้นมาเป็นเหตุผลหนึ่งในการล้มล้างอำนาจองกษัตริย์เพราะเหตุที่ว่าเป็นผู้ทำให้ฟ้าพิโรธไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป และผู้ที่เข้ามาครอบครองคนใหม่ อาจจะอ้างถึงความชอบธรรมในการล้มล้างราชบัลลังก์กษัตริย์ของจีน จึงมีหน้าที่เป็นศาสนาจารย์โดยปริยาย อำนาจในทางศาสนาจึงอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมือง

สำหรับประชาชนซึ่งไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าแห่งสวรรค์ได้ดังเช่นกษัตริย์ พวกเขาจะบูชาเทพบริวารองค์อื่น ๆ และวิญญาณบรรพบุรุษเพื่อสร้างความอบอุ่นใจและความมั่นคงในชีวิต ในแต่ละหมู่บ้านจึงมีศาลเจ้าให้กราบไหว้ และในแต่ละบ้านก็จะมีป้ายสถิตดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ

ความเชื่อของชาวจีนในเรื่องวิญญาณ ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะรู้จักและเข้าใจในธรรมชาติ โดยมีเป้าหมายที่จะเข้าใจในชีวิตของตนเอง จึงแสดงออกมาในรูปของความเชื่อแบบวิญญาณนิยม (Animism) ต่อมาเมื่อความรู้ได้พัฒนาขึ้นความเชื่อในเรื่องพระเจ้าค่อย ๆ จางลง นักปราชญ์โบราณ ของจีนได้ค้นพบกฎแห่งธรรมชาติที่ครอบงำความเป็นไปของเอกภพ และแสดงออกมาในรูปของพลังอำนาจทั้ง 2 ด้าน ที่เรียกว่าหยินและหยาง พลังหยินเป็นพลังลบที่แสดงออกถึงความมืด ความลึกลับ ความหนาวเย็น ความเปียกชื้น และความเป็นหญิง พลังนี้ปรากฏอยู่ในดิน พระจันทร์ และเงามืดส่วนพลังหยางเป็นพลังบวก แสดงออกถึงความสว่าง ความอบอุ่น ความแห้ง การสร้างสรรค์ และความเป็นชาย พลังนี้ปรากฏอยู่ในพระอาทิตย์ และสิ่งที่ส่องแสงสว่าง ในเอกภพนี้จะมีพลังทั้งสองอย่างผสมกันในสัดส่วนที่ทำให้เกิดเป็นสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา แต่ถ้าพลังอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่เป็นไปตามสัดส่วนก็จะทำให้ผลที่เกิดขึ้นวิปริตไป

โลกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเอกภพได้ถูกสร้าง ขึ้นมาด้วยพลังอำนาจทั้ง 2 อย่างนี้ทำให้มีสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน แต่นักปราชญ์จีนในสมัยโบราณได้พยายามที่จะจัดระบบของมันออกมาเป็นกลุ่ม ๆ โดยพิจารณาจากคุณสมบัติ ซึ่งจำแนกออกมาได้เป็น 5 ธาตุ คือ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุไม้ ธาตุโลหะ (ซึ่งมุ่งหมายเฉพาะธาตุทอง) และธาตุดิน

อย่างไรก็ตามแม้นว่านักปราชญ์จีนในสมัยต่อมาจะสอนให้มนุษย์มีความเข้าใจธรรมชาติ โดยใช้ปัญญามากกว่าความงมงาย ผู้ที่จะเข้าใจคำสอนเช่นนี้ได้ก็คงมีแต่ผู้มีปัญญาเท่านั้น คนจีน โดยทั่ว ๆ ไปยังคงนับถือวิญญาณและเทพเจ้า เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไปคำสอนของปราชญ์คงเหลือไว้ให้ปัญญาชนศึกษาและขบคิดต่อไป ส่วนสามัญชนยังคงยึดถือในความเชื่อเดิม ๆ เทพเจ้ายังคงได้รับการยกย่องบูชาถูกยึดถือเป็นที่พึ่งต่อไป

ปรัชญาของท่านเหลาจื๊อก็ตกอยู่ภายใต้กฎนี้เช่นกัน กล่าวคือ คำสอนของท่านที่มุ่งให้บุคคลเข้าในในธรรมชาติอย่างผู้มีปัญญา และดำเนินวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายที่สุด แต่พอวันเวลาได้ผ่านพ้นไปหลักคำสอน และคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงได้ถูกเสริมเติมแต่ง เน้นหนักในทางอภินิหารและเวทมนต์ ทำให้ปรัชญาเต๋าได้เปลี่ยนรูปมาอยู่ในลักษณะของลัทธิศาสนาที่นำเอาความเชื่อในเรื่อง หยินและหยางมาผสมกับความเชื่อดั้งเดิมของชาวจีนที่เคยบูชาพระเจ้าในธรรมชาติ รวมทั้งความเชื่อในทางไสยศาสตร์และการเล่นแร่แปรธาตุ

บุคคลแรกของลัทธิเต๋าที่เป็นผู้ก่อตั้งลัทธิคือนักพรต จางเต๋าหลิง แห่งภูเขาหลุ่งหัวซาน มณฑลเสฉวน นักพรตท่านนี้เคยประกาศว่าตนเองสำเร็จทิพยภาวะติดต่อกับเทพเจ้าได้ ท่านได้ยกให้ท่านเหลาจื๊อเป็นศาสดา และยกย่องคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงเป็นสูตรของศาสนา พร้อมทั้งเขียนคัมภีร์เพิ่มขึ้นมาอีกหลายเล่ม แต่ละเล่มล้วนหนักไปในเรื่องของไสยศาสตร์เวทย์มนต์ การเล่นแร่แปรธาตุ และการแสวงหายาอายุวัฒนะ และเชื่อกันว่าพรตผู้นี้มีทิพยอำนาจมากสามารถติดต่อกับวิญญาณต่าง ๆ ได้ รวมทั้งติดต่อกับท่านปรมาจารย์เหลาจื๊อ และมีความสามารถในการปราบปรามเหล่ามารร้ายภูติผีปีศาจได้ด้วยดาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งท่านปรมาจารย์เหลาจื๊อได้มอบให้

สานุศิษย์จึงยกย่องท่านเป็น "เทียน ฉี เช็ง อิ เต๋า" (T'ien - Shih Cheng - Yi Tao) ซึ่งทอมสัน (Laurence G. Thompson. 1979 : 107) ได้แปลว่า "วิถีทางแห่งเอกภาพอันสมบูรณ์ของปรมาจารย์ ผู้ได้รับการแต่งตั้งจากสวรรค์" (Way of Perfect Unity of the Master Designated by Heaven.) หรือตำราหลายเล่มใช้คำว่า "อาจารย์แห่งสวรรค์" (Celestial Teacher) ซึ่งต่อมาเจ้าลัทธิทุกคนได้ใช้สมณศักดิ์นี้กันตลอดมา

ความไม่ธรรมดาของท่านจางเต๋าหลิงนั้นมีผู้เล่ากันมากมาย เช่น ท่านได้รับการบวชเป็นนักพรตโดยวิญญาณของท่านเหลาจื๊อเป็นผู้บวชให้ ท่านสามารถค้นพบสูตรของความเป็นอมตะท่านจึงมีพลังชีวิตที่เป็นทิพย์ ท่านมีดาบศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถปราบปีศาจร้ายแม้อยู่ไกลถึง 1,000 ไมล์ และสุดท้ายเชื่อกันว่าท่านขึ้นสวรรค์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่โดยขี่เสือขึ้นไปทางยอดเขาหลุงหัวซานท่านจางเต๋าหลิง มีอายุยืนถึง 120 ปี

หลังจากนั้นทายาทสกุลจางได้สืบทอดตำแหน่งกันต่อมาตั้งแต่ลูกจนถึงหลาน ลูกหลานของท่านมีส่วนทำให้ลัทธิเต๋ามีความเป็นระบบมากขึ้น นิกายนี้จึงได้ชื่อว่า นิกายเช็งอิ (Cheng - Yi) ซึ่งเน้นในรหัสยลัทธิเชื่อถือโชคลางอภินิหารการเข้าทรงและ คาถาอาคมต่าง ๆ นักบวชในนิกายนี้มีครอบครัวได้เช่นเดียวกับชาวบ้านทั่วไป

ในขณะเดียวกันแนวทางเดิมของท่านเหลาจื๊อยังคงมีอยู่โดยมีผู้สืบทอดพยายามค้นหาความจริงภายในด้วยการดำเนินชีวิตตามแนวทางของท่านปรมาจารย์ พวกนี้ถูกเรียกว่าพวก "ชวน เชน เจียว" (Ch'uan - chen Chiao) ซึ่ง ทอมสัน (Laurence G. Thomson. 1979 : 107) ได้แปลว่า "การสืบทอดการบรรลุสิ่งสัมบูรณ์" (Tradition of Absolute Attainment) พวกนี้มีแนวทางชีวิตคล้ายกับชาวพุทธและนักพรตก็ดำเนินชีวิตเหมือนกับพระในพุทธศาสนา ต้องสละโสด งดน้ำเมา รับประทานอาหารามังสวิรัติ และที่เคร่งครัดมาก ๆ อาจต้องไปอยู่ตามถ้ำในเขาในป่า

วิวัฒนาการของลัทธิเต๋ายังคงมีอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ ปัจจุบันนี้ถ้าเราศึกษาคำสอนในลัทธิเต๋า เราอาจจะแปลกใจที่เห็นคำสอนในพุทธศาสนาหลายเรื่องได้เข้าไปแทรกอยู่ทั้งนี้อาจเป็นผลสืบเนื่องมาแต่อดีตในยุคสมัยที่พุทธศาสนามหายานได้เข้าไปเผยแพร่ในจีน ลัทธิเต๋ามีส่วนอย่งมากที่ช่วยตีความคำสอนในพุทธศาสนาเป็นภาษาจีน และชาวพุทธอินเดียที่เข้าไปเผยแพร่ศาสนาในจีน ซึ่งอาจจะมีปัญหาในเรื่องภาษา ได้ใช้วิธียืมคำบางคำของเต๋ามาช่วยในการอธิบายแนวคิดของพุทธศาสนา ยิ่งนานวันเท่าใดอิทธิพลของพุทธศาสนาก็ยิ่งมีอิทธิพลต่อลัทธิเต๋ามากขึ้น ถ้าเราสังเกตให้ดีจะเห็นว่าไม่เพียงแต่ในด้านคำสอนเท่านั้น แม้แต่รูปแบบความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ก็ถูกนำไปปรับปรุงใช้จนกระทั่งนักบวชเต๋าที่เคยถือพรตตามถ้ำภูเขา ได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในอาราม และมีการถือโสดเช่นเดียวกับพระสงฆ์ในพุทธศาสนา อย่างเช่นนิกายชวนเชน เป็นต้น

ลัทธิเต๋าเคยรุ่งโรจน์ในจีนแผ่นดินใหญ่ ต่อมาต้องได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ได้ยึดครองประเทศจีนในปี พ.ศ. 2492 ได้ออกคำสั่งขับไล่นักบวชศาสนาต่าง ๆ นานา เช่น ไม่อนุญาตให้ทำพิธีกรรมทางศาสนา และไม่ให้เผยแพร่ศาสนา ด้วยวิธีใดทั้งสิ้น ผู้นับถือลัทธิเต๋าในแผ่นดินใหญ่จึงเหลือน้อยมาก เพราะหลายคนได้อพยพไปอยู่ไต้หวันและถิ่นอื่น ๆ จนกระทั่งหลังจากที่ประธานเหมาได้สิ้นชีวิตในปี พ.ศ. 2520 การผ่อนคลายทางศาสนาของจีนแผ่นดินใหญ่จึงดีกว่าแต่ก่อน เพราะประชนชนสามารถประกอบพิธีกรรมได้

สำหรับชาวเต๋าที่อพยพไปอยู่ไต้หวันได้นำเอาความเชื่อและลัทธิธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เคยกระทำเมื่อสมัยอยู่ประเทศจีนไปด้วย เป็นเหตุให้มีการเผยแพร่ศาสนาด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งสมาคม การพิมพ์หนังสือธรรมะและการจัดพิธีถือศีลกินเจ นอกจากนี้ในบางนิกายมีเสรีภาพที่จะทำพิธีกรรมต่าง ๆ ได้ เช่น การทรงเจ้า การทำพิธีไล่ผีร้าย การปลุกเสกของขลังและการทำพิธีกรรมต่าง ๆ ในวันสำคัญทางศาสนา ด้วยความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของผู้นับถือลัทธิเต๋าในไต้หวัน เป็นเหตุให้ทางราชการได้ยกย่องให้เป็นศาสนาประจำชาติ และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นอย่างดีตราบจนทุกวันนี้

วัดหรือสถานที่ทำพิธีกรรมของลัทธิเต๋ามีลักษณะเหมือนศาลเจ้าของจีนโดยทั่ว ๆ ไป เพียงแต่การตบแต่งภายในที่จะตั้งแท่นที่บูชานั้น ออกจะพิถีพิถันและมีข้อกำหนดกฎเกณฑ์มากมาย แม้ในไต้หวันซึ่งเป็นแหล่งที่มีผู้นับถือลัทธิเต๋ามาก ก็ยังมีการปฏิบัติในเรื่องนี้ต่างกันออกไป ระหว่างไต้หวันที่อยู่ตอนเหนือและตอนใต้ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าและไสยศาสตร์ แล.....
ดูเพิ่มเติม (ในเฟสบุ๊คมีแค่นี้ครับ)


บทพิเคราะห์โดย ดร.นนต์

ปรัชญาทั้งหลายที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ก็ล้วนเป็นความรู้ทางโลก แม้จะศึกษาปรัชญาจนจบเป็นล้านๆครั้ง และจบมาแล้วเป็นล้านๆภพ ก็มิอาจทำให้ผู้นั้นสำเร็จวิชชาที่แท้จริงได้ เพราะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เกิดมาแล้วก็ต้องเรียนใหม่ทุกภพชาติไปไม่สิ้นสุด มีแต่วิชชาของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่สามารถเรียนจบได้คือ วิชชาพระอรหันต์ เพราะเมื่อบุคคลใดเรียนจบแล้ว ไม่ต้องหวนกลับมาเกิดเพื่อเรียนรู้โลกนี้อีกต่อไป ท่านผู้เป็นนักปราชญ์ทั้งหลาย จงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยธรรม ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีปรัชญาหรือแม้แต่ศาสนาอื่นใดจะมาเทียบเคียงได้ ลองพิจารณาด้วยเหตุแลผลเถิด

สัจธรรมที่เที่ยงคือ แม้จะเป็นยุคใดสมัยใด จะเป็นเมื่อล้านปี แสนปี หมื่นปี พันปี ร้อยปีที่ผ่านมา หรือในอนาคตข้างหน้าก็ตาม สังคมบนโลกใบนี้ ก็ล้วนต้องมีคนหลากหลายปะปนกัน ทุกกาลสมัยล้วนต้องมีการเกิด เป็นเด็ก คนหนุ่ม คนแก่ มีการเจ็บการตาย มีผู้นำ ผู้ตาม คนจน คนรวย สุขทุกข์ ผู้มีอำนาจ กษัตริย์ นักรบ ข้าทาส นักบวช นักปราชญ์ นักการเมือง นักการปกครอง นักกฎหมาย มีกฎ มีระเบียบ มีสารพันความวุ่นวาย ความเสมอภาคกันของมนุษย์คือ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่ในฐานะอะไร เกิดในตระกูลแลเชื้อชาติใด จะยิ่งใหญ่หรือต่ำต้อยแค่ไหน ก็ล้วนเจอแต่ความวุ่นวายไม่สิ้นสุด หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้เลย มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อยเท่านั้น และหนีไม่พ้นความเจ็บความตายไปไม่พ้น

เมื่อผู้คนเกิดมามากมายบนโลกใบนี้แล้ว จึงมีผู้มีปัญญาจำนวนหนึ่งได้พยายามแสวงหาวิธีที่จะทำให้ตนเองแลผู้อื่นได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติแลสงบร่มเย็น จึงเกิดนักปราชญ์ นักปรัชญา และศาสดาขึ้นมามากมาย แต่นั้นก็เป็นเพียงการทุเลาให้สังคมวุ่นวายน้อยลงเท่านั้น แต่ไม่มีผู้ใดหรือศาสดาอื่นใดเลย ที่จะนำพาให้มนุษย์พ้นจากวัฏฏะสงสารไปได้ ก็มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้แจ้งแห่งหนทางทางพ้นทุกข์นี้ นอกนั้น จึงเป็นผู้รู้แต่ทางโลกและยังหลงอยู่ในวัฏฏะสงสารเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ปรัชญาทั้งหลายก็ยังมีความจำเป็นสำหรับมนุษย์ในสังคมหนึ่ง พระพุทธศาสนาก็ยังมีความจำเป็นสำหรับบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง ศาสนาอื่นก็ยังมีคุณต่อผู้คนอีกกลุ่มหนึ่ง นี้แหละความหลากหลายบนโลกธาตุนี้ และจะยังมีต่อไปไม่สิ้นสุดจนกว่า โลกธาตุนี้จะระเบิดและแตกสลายไปในอีกสามหมื่นล้านปีข้างหน้า (โลกมีอายุทั้งสิ้นหกหมื่นล้านปี) เมื่อโลกนี้กลับมาเกิดอีกครั้ง วังวนแลวัฏจักรนี้ก็จะหวนกลับมาเป็นดังเดิมอีกครั้ง แลเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่สิ้นสุด เรื่องแบบนี้รู้ด้วยอาสวักขยญาณอันกว้างไกลของพระอรหันต์เจ้า เป็นเรื่องอจินไตยที่อยู่เหนือการรับรู้ของปุถุชน จึงเป็นปัจจัตตังสำหรับนักภาวนาเท่านั้นครับ

ปรัชญา อภิปรัชญา ลัทธิ หรือศาสนาใดศาสนาหนึ่งนั้น ย่อมบังเกิดขึ้นมาตามสภาวะแห่งการเกิดขึ้น เหตุที่บังเกิดขึ้นล้วนสอดคล้องกับสังคมนั้น ประเทศนั้น ในกาลเวลานั้น จึงเหมาะที่จะใช้กับสังคมหรือประเทศนั้นๆ ในกาลเวลาหนึ่ง จึงอาจไม่เหมาะกับสังคมอื่นหรือประเทศอื่น หรือแม้แต่แหล่งต้นกำเนิดเอง ดังจะเห็นได้จากวิวัฒนาการของลัทธิเต๋า ที่มีความเปลี่ยนแปลงและปรับตัวไปตามสังคมใหม่ไม่สิ้นสุด แต่แก่นของเต๋านั้นอาจมีเหลืออยู่ เช่นเดียวกันกับศาสนาพุทธ เมื่อภายหลังต่อมาจนถึงปัจจุบัน แก่นของพุทธได้ถูกบิดเบียนไป แปรปรวนไปเป็นธรรมดา แต่ธรรมะที่แท้จริงนั้นยังมีอยู่ เพราะพระอรหันต์เจ้าเป็นผู้สืบทอดธรรมนั้นเรื่อยมา แม้จะมีน้อยมากขึ้นก็ตาม แต่พระอรหันต์เจ้าแลธรรมจริงของพระพุทธเจ้าจะยังคงอยู่ต่อไป ตราบจนสิ้นกาลของพระพุทธศาสนา 5,000 ปี ธรรมะจริงของพระพุทธเจ้ายังรอผู้มีบุญวาสนาอยู่ และผู้มีปัญญาจะสามารถค้นพบวิถีของพุทธที่แท้จริงได้

ท่านทั้งหลาย สรรพสิ่งล้วนเป็นสิ่งสมมุติที่เกิดมีขึ้นในโลกใบนี้ ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว จะทรงตัวหรือดำรงอยู่ชั่วขณะหนึ่งและแปรปรวนไปในระยะหนึ่ง สุดท้ายก็จะดับสลายหายไปในที่สุด นี่คือสัจธรรมของโลกธาตุนี้ แล้วท่านจะเลือกเดินทางตามวิถีของปรัชญา ลัทธิ หรือศาสนาใด ก็จงเลือกเอาเองเถิด ส่วนผมเห็นทางสว่างแห่งความพ้นทุกข์แล้ว จึงไม่ลังเลสงสัยในการที่จะก้าวตามรอยบาทแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อถึงที่สุดแห่งธรรม

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
17 กันยายน 2555

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

(154) ศาสนาฝ่ายมิจฉาทิฏฐิกำลังอวดปฏิหาริย์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล

ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ท่านเห็นอยู่หรือไม่ว่า ณ ปัจจุบันนี้ มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับชาวพุทธบ้าง ท่านทั้งหลายเคยได้ยินพระพุทธองค์ตรัสกับเหล่าสาวกหรือผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่ว่า "เธอทั้งหลายเมื่อบวชเข้ามาแล้วจงไปสร้างโบสถ์สร้างศาลา ไปสร้างพระสร้างวัตถุมงคล และจงไปเรียนวิชาอาคมเสีย จงไปแสดงฤทธิ์อภินิหาริย์เถิด" ไม่เลยไม่เคยได้ยินพระพุทธองค์ตรัสเช่นนั้น มีแต่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "เธอทั้งหลาย เมื่อเข้ามาบวชแล้ว เธอจงตั้งใจเรียนกรรมฐานห้า เมื่อเรียนรู้แล้ว เธอทั้งหลายจงออกไปปลีกวิเวกยึดเอาป่าและโคนต้นไม้เป็นที่เพียรภาวเพื่อฆ่ากิเลสเถิด"

แต่ยุคสมัยนี้ บุคคลเมื่อบวชเข้ามาแล้ว กลับแสวงหากิเลสมาใส่ตัวไม่สิ้นสุด เมาบาปเมาบุญ สร้างวัดสร้างวาใหญ่โตมโหฬาร โหมโฆษณาวัดยิ่งกว่าศูนย์การค้า แข่งกันสร้างเหรียญสร้างวัตถุมงคล แม้ออกธุดงค์ก็หลงเรื่องฤทธิ์เรื่องอภิญญา ส่งจิตส่งของไปหาผู้อื่น วุ่นวายอยู่แต่ในเรื่องโลกียฌาน วุ่นวายอยู่แต่เรื่องบาปบุญของผู้อื่น ซึ่งเป็นเรื่องสวนกับคำสอนของพระพุทธองค์ทั้งนั้น หาผู้จริงใจกำจัดกิเลสให้หมดไปจากใจของตัวเองก็หาได้น้อย "ผู้ทรงธรรม" ดั่งเช่นพระอรหันต์เจ้าในโลกนี้ที่ดำรงธาตุขันธ์อยู่ก็เห็นมีแค่นับสิบองค์ นอกนั้น ล้วนเป็น "ผู้ทำทรง" ทั้งนั้น คือทำเป็นเหมือนผู้มีธรรมสูง ยึดและสอนตามตำรา ชอบแสดงฤทธิ์อภินิหาริย์ บ้างก็งมงายในเทพแลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทรงเทพ ทรงเจ้าเข้าผี บ้างก็เป็นวัดการค้าการตลาด บ้างก็ติดในลาภสักการะแลศรัทธา บ้างก็มัวมัวในวัตถุทางโลก ดูแล้วชั่งหดหู่หัวใจ หลวงพ่อพระอรหันต์เจ้าผู้ติดดินท่านกล่าวว่า "ผู้มีบุญและมีปัญญาเท่านั้น จึงจะค้นพบ "ผู้ทรงธรรม" ที่แท้จริงได้ ส่วนผู้ที่ยังมีความหลงแลไม่มีปัญญา แถมอวดดีและหยิ่งยะโส ก็มักหลงไปติดอยู่กับ "ผู้ทำทรง" ทั้งนั้น"

เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาที่คำสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่แสดงไว้เป็นปัจฉิมโอวาท ก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นความจริงของสรรพสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาว่า นับวันจะหาพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้จะเป็นเนื้อนาบุญให้โลกได้พึ่งอาศัย ได้สร้างบุญกุศล ได้ยากยิ่งขึ้น นี่แหละยุคของเทพมาดูแลศาสนา ความผิดเพี้ยนจึงบังเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้แสวงหาบัณฑิต บัณฑิตจะพากันไปแสวงหาธรรม ธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมที่แท้จริงย่อมไม่ผิดเพี้ยน และธรรมจริงนั้นยังมีอยู่ ขอผู้ที่เข้ามาอ่านเจอข้อความนี้ จงเป็นผู้มีปัญญาแลมีดวงตาที่เห็นธรรม ได้ค้นพบครูอาจารย์ผู้เป็นอริยสาวกที่แท้จริงทุกท่านเทอญ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
10 กันยายน 2555
ปัจฉิมโอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต






"ผู้ถือไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็มากมายเข้าแล้ว แผ่นดินนับวันแคบ มนุษย์แม้จะถึงตาย ก็นับวันมากขึ้น นโยบายในทางโลกีย์ใดๆก็นับวันประชันขันแข่งกันขึ้น พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต เพราะเนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม เป็นไร่เป็นนาจะไม่วิเวกวังเวง

ศาสนาทางมิจฉาทิฏฐิ ก็นับวันจะแสดงปฏิหาริย์ คนที่โง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่างโคและกระบือ ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อย

ฉะนั้น พวกเราทั้งหลาย จงรีบเร่งปฏิบัติธรรม ให้สมควรแก่แก่ธรรม...
ดังไฟที่กำลังไหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด ให้จิตใจเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏสงสาร ทั้งโลกภายในหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ทั้งโลกภายนอกที่รวมเป็นสังขารโลก ให้ยกดาบเล่มคมเข้าสู้ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาติดต่ออยู่ไม่มีกลางวันกลางคืนเถิด

ความเบื่อหน่ายคลายเมาไม่ต้องประสงค์ ก็จะต้องได้รับแบบเย็นๆ และแยบคายด้วย จะเป็นสัมมาวิมุตติ และสัมมาญาณะอันถ่องแท้ ไม่ต้องสงสัยดอก

พระธรรมเหล่านี้ไม่ล่วงไปไหน มีอยู่ ทรงอยู่ในปัจจุบัน จิตในปัจจุบัน ที่เธอทั้งหลายตั้งอยู่หน้าสติ หน้าปัญญา อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั้นแหละ"

โอวาทครั้งสุดท้ายของอาจารย์มั่น
(บันทึกโดยพระอาจารย์หล้า เขมปตฺโต)
จากหนังสือ"เพชรน้ำหนึ่ง"

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

(023) เส้นทางบุญจากโคราช หนองคาย สู่เขตภูเขาควายประเทศลาว



❇️  บันทึกนักภาวนา ภาคพิเศษ 1
❇️  เส้นทางบุญจากโคราช-หนองคาย 
     สู่เขตภูเขาควาย ประเทศลาว 
     10-11 มีนาคม 2555

        🍂 ปฐมบทแห่งบันทึกเรื่องราวต่อไปนี้ เกิดจากประสบการณ์จริง แต่ความจริงแท้ทั้งหมด ยังเกินวิสัยของผู้เขียน ดังนั้น โปรดใช้วิจารณญาณ หรือจะอ่านเป็นนิทานธรรม เพื่อความเพลิดเพลินก็พอ (มีความยาวหลายตอน)

🌼 ตอนที่ 1 อัศจรรย์หนองคาย

        🔸 1. จุดประสงค์ของการเดินทาง

        เช้าวันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2555 ผมพร้อมกับ ผอ.ชยุต (หนุ่ม) ซึ่งเป็น ผอ.ป่าไม้ที่ชัยภูมิ และคุณณี (ภรรยาคุณหนุ่ม) ได้ออกเดินทางด้วยรถยนต์ จากโคราช เวลา 8.30 น. การเดินทางในครั้งนี้ มีเป้าหมายไปแค่หนองคาย ตามคำเชิญของหลวงตาเณรเท่านั้น พวกเราไม่เคยรู้จักหลวงตาเณรมาก่อน แต่ท่านก็ได้เชิญให้พวกเราไปที่สำนักสงฆ์ของท่าน โดยประสานงานผ่านทางสิบเอกอารี เพื่อการบางอย่าง ซึ่งผมเองก็ยังงงๆ อยู่ว่า เอ..เราไปด้วยเหตุอันใดหนอ แต่จิตของผมก็รู้สึกเบิกบานดี


       🔸 2. พบญาติธรรม ณ หนองคาย

       🔹พบกับกินรี🔹

        ในระหว่างทาง ได้แวะเยี่ยมผู้กองศุภชัย ตำรวจทางหลวงอุดรธานี พอสมควรแก่เวลาแล้ว พวกเราได้ออกเดินทางสู่จังหวัดหนองคายทันที วันนี้ตั้งแต่เช้าอากาศเย็นสบาย เพราะไม่ค่อยมีแดด พอเริ่มเข้าสู่เขตหนองคายปรากฏว่า มีฝน (หน้าแล้ง) ตกตลอดเส้นทาง  อย่างไรก็ตาม การไปหนองคายครั้งนี้ ผมกับคุณหนุ่มยังไม่รู้เลยว่า สำนักสงฆ์ที่เราจะไปนั้น ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน หลวงปู่ท่านชื่ออะไร ก็คงต้องใช้วิธีไปหาทางเอาข้างหน้า ผมทราบจากคุณหนุ่มว่า คุณอารี (สิบเอกอารี) ลูกศิษย์หลวงปู่โทรมาบอกว่า หลวงปู่จะส่งกินรีมาต้อนรับด็อกเตอร์ พวกเราก็ยังงงๆว่า กินรีมีตัวเป็นแบบใด เมื่อใกล้ถึงหนองคาย พวกเราก็ได้รับสายจากสตรีท่านหนึ่ง โทรมาบอกเส้นทางไปวัด และจะออกมารับที่ปากทาง  เมื่อพบกันแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่า เธอคือกินรี รู้แต่ว่าเธอชื่อคุณนก ที่ขับรถเบนซ์ออกมารับพวกเรา (มาทราบทีหลังก่อนจากกันว่า เธอคือกินรีนั่นเอง) เมื่อได้สนทนากันแล้ว เธอเกิดอาการปีติตลอดเวลา เสมือนเป็นญาติมิตรกันมาก่อน

       🔹พบหลวงตา (เณร)🔹

         เมื่อสนทนากันพอควรแล้ว จึงมุ่งหน้าเดินทางเข้าสู่สำนักสงฆ์ ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองหนองคายประมาณ 10 กิโลเมตร ผมสังเกตเส้นทาง เมื่อเราเลี้ยวออกจากถนนหลักเข้าสู่สำนักสงฆ์ เป็นถนนลูกรังวิ่งผ่านหมู่บ้านสองสามหมู่บ้าน ทางคดเคี้ยวไปมา และเริ่มมีสภาพเป็นป่าดูวังเวงมากขึ้น ไม่นานก็ไปถึงสำนักสงฆ์ราวบ่ายสองโมง พร้อมกับมีฝนตกลงมาหนักพอสมควร หลวงตาได้ออกมาจากกลดภาวนาที่อยู่ในศาลา พวกเราจึงเข้าไปกราบนมัสการท่าน คำแรกๆ ที่ผมได้ยินก็คือ... 
        
         "ด็อกเตอร์เอ้ย มาซอยกันส่างบารมีเด้อ ขอบารมีด็อกเตอร์มาซอยกันเด้อ"... "มื้อคืนปู่เพินก็มาบอกว่า ผู้มีบุญจากโคราชซิมาหาเด้อ" (ด็อกเตอร์มาช่วยกันสร้างบารมี ขอบารมีของด็อกเตอร์มาช่วยกันนะ... เมื่อคืนปู่ท่านก็มาบอกว่า ผู้มีบุญจากโคราชจะมาหาเด้อ)... 

          ผมนิ่งไปสักพัก เพราะยังงงๆ ท่านจึงเอ่ยขึ้นมาว่า... "บ่แม้นเรื่องเงินเรื่องปัจจัยดอก ขอแค่ด็อกเตอร์ส่งจิตส่งบารมีมาก็พอแล้ว"... ผมยังสงสัยตัวเองอยู่ว่า แล้วผมจะมีบารมีอันใดหนอ ที่จะมาช่วยท่านได้  แต่ผมก็รับปากท่านไปเสียแล้ว

         หลังจากสนทนากันกับท่าน ประมาณหนึ่งชั่วโมง ฝนเริ่มซาลง พวกเราจึงขอตัวเพื่อจะเข้าไปกราบหลวงพ่อพระใส ที่วัดโพธิ์ชัย และจะเลยไปเที่ยวตลาดอินโดจีน แล้วจึงจะย้อนกลับมาพักที่วัด เพื่อสนทนาธรรมกับท่านอีกครั้ง
 

          🔸 3. ภาวนาและอธิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัย

          พวกเราเดินทางไปถึงวัดโพธิ์ชัย ซึ่งเป็นวัดที่ประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของหนองคายคือ หลวงพ่อพระใส ในราวบ่ายสามโมง ผมได้เข้าไปกราบหลวงพ่อพระใสบนพระวิหาร พร้อมกับนั่งภาวนาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง การภาวนาเบื้องหน้าหลวงพ่อพระใส แม้จะมีผู้คนมากมาย แต่แปลกผมกลับมีความสงบสมาธิดิ่งเร็วดี จิตก็สว่างไสว แลใสเจิดจ้าดุจประกายเพ็ชร  อยู่พักหนึ่ง จึงถอนขึ้นมา

          หลังจากออกจากสมาธิแล้ว ผมได้เข้าไปอธิษฐานเสี่ยงทายพระพุทธรูปที่วางอยู่ด้านข้าง โดยกำหนดจิตอธิษฐานว่า ... "หากข้าพระพุทธเจ้าจัก(...) ในภพในชาตินี้ ขอจงให้พระพุทธรูปมีน้ำหนักมากด้วยเถิด..." เมื่อผมยกพระพุทธรูปขึ้น ปรากฏว่ามีน้ำหนักมาก สามารถยกขึ้นได้เพียงเล็กน้อย เมื่อจะยกครั้งที่สองในคำอธิษฐานเดิม... "หากข้าพระพุทธเจ้าจัก(...) ในภพในชาตินี้ ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ายกพระพุทธรูปขึ้นเบาดั่งปุยนุ่นด้วยเถิด..."  ผมตั้งสติให้จิตตั้งมั่นแล้วยกขึ้นจังหวะเดียว ปรากฏว่า พระพุทธรูปลอยละลิ่วเบาหวิวขึ้นเลยเหนือศรีษะ ขึ้นไปจนสุดแขนอย่างน่าอัศจรรย์ ท่ามกลางสายตาของคุณหนุ่มและคุณณี หลังจากนั้น ผมก็ลองให้คุณหนุ่มและคุณณีอธิษฐานจิตดู ปรากฏว่า พระพุทธรูปมีน้ำหนักมากจนยกไม่ขึ้น และมีน้ำหนักเบาหวิวต่างกันอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นอันว่า คำอธิษฐานเสี่ยงทายของพวกเราในครั้งนี้ สมหวังกันทุกคน (ปล.พระพุทธเจ้ามิได้สอนให้พวกเราลุ่มหลงกับสิ่งเหล่านี้)


กราบหลวงพ่อพระใส


          🔸 4. สนทนาธรรมกับหลวงตาเณร

          พวกเราเดินทางกลับสำนักสงฆ์ ในราวทุ่มกว่าๆ ปรากฏว่า หลงทางเข้าป่าลึก ยิ่งไปยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ ดูวิเวกเปลี่ยวเปล่าน่าดู ฝนก็ตกพรำๆ บรรยากาศก็ชวนขนลุก คุณหนุ่มโทรให้คนออกมารับ จึงสามารถกลับเข้าสู่สำนักสงฆ์ได้ ก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม หลวงตาเณรและญาติธรรมนับสิบ กำลังรอพวกเรา เพื่อสวดมนต์ทำวัตรเย็น หลังจากทำวัตรเสร็จแล้ว ท่านให้หญิงสาวคนหนึ่ง ที่ท่านเคยช่วยเหลือเธอไว้ จากการถูกเล่นงานด้วยคุณไสย ประทับทรงปู่ตา ซึ่งเป็นเทพทางลาวแถบภูเขาควาย เพื่อสอบถามบางอย่าง ผมนั่งดูอยู่ห่างๆ  ได้เรียนรู้และพิจารณาธรรม ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้า เห็นความทุกข์ของผู้คนที่เข้ามาหาหลวงตา เพื่อให้ท่านช่วย มีสารพัดความทุกข์ มีการเสี่ยงทาย โดยการยกขาปู่เจ้าผ่านขาของร่างทรง คล้ายกันกับการยกพระพุทธรูป คุณหนุ่มกับคุณณีได้ทดลองเสี่ยงทาย ปรากฏว่า หากสำเร็จให้ยกขาไม่ขึ้น  ก็ปรากฏหนักอึ้งไม่สามารถขยับเขยื้อน ทั้งที่ร่างทรงก็นั่งสบายๆ และหากสำเร็จให้สามารถยกขาขึ้นแบบสบาย ก็ปรากฏว่าเบาหวิวขึ้นมาเฉย เอ้อหนอ...แบบนี้ก็มีด้วย ก็เคยเห็นแต่การเสี่ยงทายพระพุทธรูป (เป็นความเชื่อนอกวิถีของพระพุทธศาสนา โปรดพิจารณา)

          เมื่อญาติธรรมลากลับเกือบหมดแล้ว ผมจึงได้สนทนาธรรมกับหลวงตาเณร ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยเป็นทหาร แล้วลาออกมาบวชเป็นพระในฝ่ายธรรมยุต เมื่อหลายปีมาแล้ว  และออกธุดงค์ไปตามป่าดงแถบภาคอีสาน เคยไปสร้างวัดแห่งหนึ่งที่อุบลฯ จากไม่มีอะไรเลย แต่สำเร็จได้ภายในไม่นาน และเมื่อมีความเจริญแล้ว ท่านจึงได้หนีออกจากวัดนั้น และออกธุดงค์เรื่อยมา จนมาพบบริเวณสำนักสงฆ์แห่งนี้ ขณะที่ท่านบำเพ็ญโดยถือสัจจะเป็นเวลาหนึ่งเดือนนั้น ปรากฏนิมิตมากมาย ทั้งการพบกับหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรในร่างบุรุษชุดขาว มีพญานาคเป็นพาหนะ หลวงปู่ศรีเอกวงศ์ (ท่านบอกว่าเกี่ยวพันกันกับหลวงปู่โต เป็นภพหนึ่ง) ซึ่งเคยบำเพ็ญอยู่ในภูมิแห่งนี้ หลวงปู่มั่นและหลวงปู่ต่างๆ ก็เคยมาหา พญานาคที่มาในญาณของปู่ขาวและปู่ดำ และที่สำคัญบริเวณที่อยู่ใกล้ๆสำนักสงฆ์แห่งนี้ เป็นภูมิของพระอรหันต์สมัยพุทธกาล เป็นภูมิของคนสูงแปดศอก ท่านนิมิตเห็นบาตรพระขนาดใหญ่จำนวน 20 อัน อยู่ใต้พื้นดินแห่งนี้ และอีกหลายๆเรื่อง รวมทั้งเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำ และวิญญาณทั้งหลาย ก็เป็นหนึ่งในหัวข้อที่สนทนากันในค่ำคืนนี้

         ในตอนหนึ่ง หลวงตาเล่าถึงว่า ทำไมท่านถึงต้องสึกจากความเป็นพระ ลงมาเหลือแค่การบวชเป็นเณร ทั้งที่ตัวท่านเองก็บำเพ็ญเพียรมาตามแบบอย่างพระกรรมฐาน แต่เมื่อได้มาพบกับหลวงปู่ใหญ่แล้ว ภาระหน้าที่บางอย่างจึงเปลี่ยนไป หน้าที่ปราบมารบังเกิดขึ้น การช่วยเหลือสงเคราะห์คนทุกข์สาหัส จากไสยศาสตร์มนต์ดำก็บังเกิดขึ้น การสร้างพระพุทธรูป การสร้างวัดก็บังเกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน โอ้หนอ...การสร้างบารมี ทำไมมันถึงยากเพียงนี้น้อ... เส้นทางพระอรหันต์ก็เห็นห่างกันเพียงเส้นผม แต่ก็ต้องมาบำเพ็ญอีกเส้นทางหนึ่ง ไฉนเส้นทางหรือจริตในการบำเพ็ญจึงแตกต่างกัน... ท่านทั้งหลาย ผมเข้าใจแล้วว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ผมจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปพิจารณาผู้อื่น ผู้อื่นก็คือผู้อื่น การบำเพ็ญของคนอื่น ก็เป็นของคนอื่น หน้าที่ของใครก็ของมัน อย่าได้เอามาปะปนกับของเรา ตัวเรายังมิใช่ของเรา ผมจึงได้แต่อนุโมทนาในบุญกุศลที่ท่านสร้างมา

          หลวงตาเณรบอกว่า... "ภูมิที่นี่ดี ด็อกเตอร์มาภาวนาเอาเด้อ มาสร้างบารมีช่วยกันเด้อ"... เมื่อได้เวลาพักผ่อน พวกเราจึงได้อาศัยศาลาเป็นที่นั่งภาวนาและนอน ซึ่งกลดของหลวงตาก็อยู่ในศาลาแห่งนี้ เมื่อหลวงตาได้เข้ากลดภาวนาแล้ว ผมกับคุณหนุ่มก็อาศัยที่นอนนั้น เป็นที่นั่งภาวนาท่ามกลางเสียงฝนตกพรำๆ

         ในช่วงเช้าต่อมา หลวงตาเณรบอกคุณอารีว่า เมื่อคืนได้ยินผู้ไม่มีตัวตนเข้ามาหาผม แต่ผมไม่รู้หรอก รู้แต่เพียงว่า บางช่วงก็รู้สึกดี และบางช่วงขณะนั่งภาวนา ก็มีวัตถุหล่นใส่หลังคาตรงศรีษะผมหลายครั้ง ไม่ได้ตกใจอะไร ก็ได้แต่พิจารณาเป็นธรรมะเท่านั้น


          🔸 5. ไสยศาสตร์มนต์ดำ

          ในการสนทนากับหลวงตาเณร และลูกศิษย์ของท่าน ในค่ำคืนวันที่ 10 มีนาคม 2555 นั้น มีช่วงหนึ่ง ที่ได้พูดคุยกันถึงเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำ ที่หลวงตาเณรและลูกศิษย์ได้เผชิญมา หลวงตาและลูกศิษย์ช่วยกันเล่าให้ฟังว่า เมื่อคราวที่ท่านและลูกศิษย์ไปบำเพ็ญภาวนาที่ภูลังกา ได้เผชิญกับพวกเล่นของหรือหมอธรรมฝ่ายมิจฉาทิฏฐิ พวกมารได้ปล่อยของออกมาเล่นงานท่านหลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านทราบว่า พวกมารจะรวมหัวกันส่งของมาเล่นงานชุดหนัก ท่านและลูกศิษย์ จึงได้ไปปักหลักที่ภูลังกา ตั้งปะรำขอบเขต โดยปักด้ายสายสิณจน์ล้อมรอบ ให้เณรน้อยสององค์นั่งข้าง ให้สิบเอกอารีและลูกศิษย์อีกคนยืนถือหอกอยู่ใกล้ๆ ส่วนลูกศิษย์มีทั้งหญิงและชายที่เหลือ ให้อยู่ในวงสายสิญจน์ เมื่อถึงเวลา ปรากฏมีลมพัดกระหน่ำเหมือนในหนัง เต๊นท์ปลิวกระจายไปไกลเกือบกิโลเมตร คณะของหลวงตาเณรยังตั้งมั่นอยู่ในวงสายสิญจน์ สักครู่ปรากฏมีตะปูและวัตถุพุ่งใส่สิบเอกอารี และลูกศิษย์ที่ยืนถือหอกอยู่ จึงต้องหลบกันพัลวัน เณรน้อยที่อยู่ด้านข้างโดนไปหลายดอก หลวงตากดหัวเณรน้อยให้หมอบลง มีวัตถุวิ่งแหวกอากาศมากระทบกับต้นไม้ กับเสา กับคน กับหลวงตา กับเณร กับลูกศิษย์ หลายชุด มีทั้งตะปูขนาดใหญ่ กระดูก เส้นผม ก้อนอิฐ ก้อนหิน ฯลฯ ต่างบาดเจ็บไปตามๆกัน 

         เมื่อเล่าถึงตอนนี้ ลูกศิษย์ของท่านต่างพูดกับผมว่า ทำไมพวกเขาไม่เจอลูกแก้ว พระธาตุ และพระพุทธรูปเสด็จมาเหมือนด็อกเตอร์หนอ มีแต่อะไรก็ไม่รู้ พูดไปก็หัวเราะกันไป หลวงตาเล่าต่อไปว่า บางครั้ง ท่านได้ยินเสียงสวดเป็นภาษาเขมร และเห็นอักษรธรรมวิ่งเข้ามาเป็นระยะๆ ท่านจึงโต้ตอบกลับไปด้วยบทสวดธรรมจักรฯ สู้กันไป บางครั้งท่านเหนื่อยจนแทบหายใจไม่ทัน เพราะฝ่ายตรงข้ามมีกันหลายคน ท่านจึงขอให้โยมช่วยกันสวดต่อ ท่านขอหยุดพักหายใจก่อน แต่สุดท้าย ด้วยอำนาจธรรมของท่าน จึงทำให้พวกมารพ่ายแพ้กลับไป

        ทุกวันนี้ ท่านจึงกลายเป็นผู้ทำหน้าที่ปราบมาร ควบคู่ไปกับการสร้างพระ สร้างวัด และคอยช่วยเหลือผู้คนที่โดนเล่นงานด้วยไสยศาสตร์มนต์ดำ รวมทั้งโดนผีสิง โดนวิญญาณร้ายและอาถรรพ์ต่างๆ และที่แปลกและพึ่งได้ยินก็คือ มีชายคนหนึ่ง "โดนของ" ของพวกอิสลาม อาการหนักมาก ซึ่งกำลังนอนรักษาอยู่บนศาลานี้ด้วย ตอนเช้า ผมก็เห็นผู้หญิงโดนวิญญาณร้ายมาให้ท่านช่วยรักษา ผมเห็นการบำเพ็ญของท่านแล้ว แม้มันจะไม่ใช่ทางสายตรง แต่ก็ได้แต่อนุโมทนาและเหนื่อยแทนท่าน 

         เฮ้อ...  ทำไมมันมีแต่ความทุกข์กันมากมายนักหนา มนุษย์เอ๋ย เทวดาเอ้ย วิญญาณเอย ทำไมถึงวุ่นวายกันนักหนาหนอ แทนที่พระคุณเจ้า ท่านจะได้มีเวลาไปบำเพ็ญภาวนาเพื่อความหลุดพ้น กลับต้องมาเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ เพราะความเมตตาของพระคุณเจ้าแท้ๆ หลวงตาท่านพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า ..."เพราะคนบุญ คนภาวนา คนปฏิบัติธรรมมันน้อยลง พวกมารมันจึงมีพละกำลังกันมากขึ้น ขอให้ด็อกเตอร์มาภาวนามาช่วยกันเด้อ"...  

        เฮ้อ...ผมก็พูดไม่ออกกับสิ่งเหล่านี้ คงจะมีแต่ความเมตตาเท่านั้น ที่จะคอยคุ้มครองตัวผมและผู้อยู่ใกล้ชิด คงไม่มีสิ่งใดเป็นเกาะป้องกันได้ดี เท่ากับคุณธรรมที่มีอยู่ในตัวเราอีกแล้ว ขอให้พวกเรา จงช่วยกันเร่งสร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นภายในตัวเองเถิด แล้วจักปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายได้เอง 

         ท่านทั้งหลาย นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ที่ผมรับฟังมา แล้วอยากจะถ่ายทอดให้ทุกท่านได้พิจารณา ผมเองเคยลุ่มหลงอยู่กับการร่วงหล่นของลูกแก้ว เพ็ชรนาคา เหล็กไหล พระธาตุ และพระพุทธรูปทั้งทองคำ สัมฤทธิ์ และเนื้อดิน หล่นมาทางอากาศมากมาย จนเป็นเรื่องปรกติธรรมดา เพราะผมหลงอยู่กับสิ่งเหล่านี้ มานานเป็นเวลาร่วม 6 ปี (เป็นความหลงที่ได้ละวางแล้ว) ซึ่งมันต่างกันลิบลับ กับเรื่องของหลวงตาเณร แต่ความอัศจรรย์นั้น มันคือเรื่องเดียวกัน แต่ต่างกันตรงฝ่ายธรรมและฝ่ายมารเท่านั้น เรื่องนี้มันเป็นปัจจัตตัง และนานาจิตตัง จงใช้วิจารณญาณกันเอาเองเถิด


         🔸 6. สร้างพระพุทธรูป
           หลวงพ่อขาวและหลวงพ่อดำนาคปรก

         ตื่นเช้าขึ้นมา ในวันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2555 ผมจึงได้มีโอกาสออกสำรวจพื้นที่สำนักสงฆ์แสงจันทร์เนรมิตอีกครั้ง ภายในสำนักสงฆ์ มีสิ่งที่แสดงถึงบุญบารมีของหลวงตาเณรก็คือ ศาลาหลังปัจจุบัน ที่ใช้เวลาในการสร้างประมาณ 15 วัน ด้วยความร่วมแรงและงบประมาณของชาวบ้าน สร้างเสร็จเร็วเสมือนเป็นการเนรมิต และเป็นสำนักสงฆ์ใหม่แบบสดซิงๆ  นอกจากนั้น หลวงตาเณรบอกว่า พระเบื้องบน(ผู้เขียนไม่ทราบว่าเป็นใคร) ยังกำหนดให้หลวงตาเณร สร้างพระพุทธรูปนาคปรก จำนวน 9 องค์ 9 แห่ง เพื่อการสร้างบารมีและสืบต่อพระพุทธศาสนา ผมเองได้มีส่วนร่วมในการสร้างพระพุทธรูป (หลวงพ่อขาว) องค์ที่ 6 ที่กำลังปั้นอยู่ในบริเวณสำนักสงฆ์แห่งนี้



          🔸 7. ข้ามฝั่งสู่เขตภูเขาควาย ประเทศลาว  

          หลังจากเดินดูบริเวณภายในวัดแล้ว ผมได้รับแจ้งจากคุณนกว่า วันนี้พวกเราต้องเดินทางด่วนข้ามไปที่ประเทศลาว เพื่อไปดูสถานที่สร้างพระพุทธรูปองค์ที่ 9 แบบเร่งด่วน ความจริงแล้ว ผมทราบจากหลวงตาเณร ตั้งแต่เมื่อวานที่เดินทางมาถึงแล้วว่า พระเบื้องบนปรารถนาให้ท่านและผม เดินทางด่วนข้ามไปที่ประเทศลาว และลัดคิวสร้างองค์ที่ 9 ก่อนองค์ที่ 7 และ 8 ที่ยังไม่ได้สร้าง หลวงตาบอกผมประมาณว่า เสมือนพระเบื้องบนจะเร่งให้ท่านสร้างบารมี และหลวงตาเณรยังได้พูดต่อกับผมว่า... "ด็อกเตอร์ไปนำกันเด้อ ขอบารมีด็อกเตอร์ ไปช่วยกันเด้อ"...

          อย่างไรก็ตาม เมื่อตอนกลางคืน พวกเราได้ทราบว่า คุณฝนซึ่งเป็นภรรยาของคุณวิสุทธิ์ ซึ่งทั้งคู่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศลาวมานานร่วม 20 ปี ได้แจ้งว่าจะขอเลื่อนเป็นวันที่ 12 มีนาคม พวกเราก็นิ่งและคิดกันว่า คงไม่ได้ไปประเทศลาวแล้ว เพราะผมจะต้องเดินทางกลับวันที่ 11 มีนาคม แต่พอตอนเช้าวันที่ 11 ขณะที่ผมกำลังเดินสำรวจบริเวณวัดอยู่นั้น คุณนกได้รับโทรศัพท์จากคุณวิสุทธิ์ว่า ให้พวกเราเตรียมตัวโดยด่วน เพราะจะข้ามไป "ภูเขาควาย" ประเทศลาวในวันนี้ หลวงตาบอกว่า สงสัยพระเบื้องบนต้องการให้ไปจริงๆ แต่มีมารเข้ามาขัดขวางตั้งแต่เมื่อคืน และในตอนเช้า หลวงตาก็เกิดอาการท้องเสียแบบฉับพลัน แต่หลวงตาไม่ถอย บอกให้ทุกคนเตรียมตัวออกเดินทางได้ 

          เวลาประมาณ 9.00 น. เมื่อคณะพวกเราข้ามสะพานไปถึงฝั่งประเทศลาวแล้ว พวกเราได้รอพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของลาวนานพอสมควร หลังจากนั้น จึงรีบออกเดินทางสู่เมืองหลวงกำแพงเวียงจันทน์ทันที ด้วยรถยนต์โฟวีลของคุณวิสุทธิ์ คณะของพวกเรามีทั้งหมด 8 คน เมื่อถึงกำแพงเวียงจันทน์แล้ว พวกเราได้แวะเพื่อให้คุณฝนไปเอารถยนต์ของพี่สะใภ้อีกคัน แล้วให้ขับตามไป เพื่อจะได้สะดวกในการเดินทาง 

          อย่างไรก็ตาม การเดินทางของพวกเราในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นข้างหน้าบ้าง หลวงตาเณรบอกผมว่า... "ด็อกเตอร์ช่วยภาวนาให้ผ่านตลอดเด้อ"... เมื่อคณะของพวกเราไปถึงสะพานข้ามแม่น้ำงึม ตรงด่านเก็บเงินผ่านทาง พวกเราได้แวะจอดข้างแพริมแม่น้ำงึม เพื่อรอรถที่คุณฝนขับตามมา นานเกือบชั่วโมง โทรศัพท์ก็ไม่สามารถติดต่อได้ คณะพวกเราไม่รู้จะทำอย่างไร หลวงตาเณรท่านจึงได้จุดธูปบอกกล่าวองค์ปู่พรหมจักร ผู้ดูแลดินแดนฝั่งประเทศลาว พร้อมกันนั้น คุณนกเธอได้เดินมาบอกผมว่า... "ด็อกเตอร์ช่วยอธิษฐานจิต ขอบารมีให้พวกเราไปสะดวกด้วยนะค่ะ"... เมื่อไม่สามารถติดต่อได้ พวกเราลงความเห็นว่า ต้องเสี่ยงเดินทางไปก่อนคุณฝน เมื่อรถมาถึงด่านเก็บเงิน ปรากฏว่า รถยนต์ของคุณฝนวิ่งมาต่อท้ายอย่างพอดิบพอดี ชั่งบังเอิญอะไรขนาดนี้ เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องที่สนทนากันเกือบตลอดเส้นทาง และการเดินทางเพื่อแสวงบุญของพวกเราในครั้งนี้ ก็เป็นไปด้วยความสะดวกและราบรื่นทุกประการ




         🔸 8. วัดพระบาทด่านเพย ดินแดนพุทธภูมิ

          คณะของพวกเรา เดินทางผ่านเส้นทางภูเขาควายอันเลื่องชื่อ ถ้าหากใครได้อ่านประวัติของพระอรหันต์ ตั้งแต่หลวงปู่มั่น พระอาจารย์เสาร์และสานุศิษย์ มักจะพบว่า เป็นดินแดนที่พ่อแม่ครูอาจารย์ ท่องจาริกธุดงค์ผ่านเส้นทางอาถรรพ์นี้ทั้งนั้น ผมเองเคยปรารถนาอยากจะเดินทางตามรอยเส้นทางของครูอาจารย์มานานแล้ว วันนี้ ก็ได้แต่นึกปลื้มปีติอยู่ในใจ ที่ได้เดินทางมาราวกับปาฏิหาริย์ เพราะไม่เคยนึก ไม่เคยอยู่ในโปรแกรมอะไรทั้งสิ้น 

           พวกเราขับรถแล่นผ่านบริเวณถ้ำแห่งหนึ่ง ที่หลวงตาเณรบอกว่า เป็นถ้ำที่หลวงปู่ใหญ่พำนักอยู่ และผมก็เคยอ่านเรื่องราวลูกศิษย์สายหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรว่า หลายๆท่านได้มาเรียนวิชากับคณะของหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ณ ถ้ำแห่งนี้ ว่ากันว่า เส้นทางที่จะเข้าถ้ำแห่งนี้ได้ก็คือ 1. ดำน้ำรอดถ้ำเข้าไปไกลมาก 2. เข้าทางด้านบนถ้ำน่าจะลำบากมากที่สุด 3. เข้าไปด้วยอภินิหาริย์  ซึ่งหลวงตาเณรบอกกับผมว่า ท่านก็อยากจะเข้าไปในถ้ำนี้ แต่คงจะสร้างพระองค์ที่ 9 ที่ภูเขาควายให้แล้วเสร็จก่อน จึงจะสามารถเข้าไปได้ พวกเรามีกำหนดการ จะเดินทางไปที่ลาวอีกครั้ง ในวันที่ 30, 31 มีนาคม และ 1 เมษายน 2555 นี้

         ต่อมา คณะของพวกเรา เดินทางมาถึงวัดสันติธรรม พระบาทด่านเพย  แขวงเวียงจันทน์ ที่อยู่ห่างจากกำแพงเวียงจันทน์ประมาณ 80 กิโลเมตร วัดแห่งนี้ตั้งอยู่เชิงภูเขาควายด้านทิศเหนือ เมื่อคณะพวกเรามาถึง ก็ได้พบกับแม่ชีรูปหนึ่ง ที่เป็นผู้ดูแลวัดทั้งหมด วัดนี้ไม่มีพระสงฆ์อยู่เลย เนื่องจากสู้ภูมิที่นี่ไม่ได้ หากไม่ใช่พระนักปฏิบัติ แม่ชีท่านออกมารับหลวงตาและคณะของพวกเรา ท่านได้เชิญไปที่ศาลาหลังใน ก็ได้พบกับครูบาลาวองค์หนึ่งที่มารออยู่แล้ว ครูบาองค์นี้ ท่านเคยมาที่สำนักสงฆ์แสงจันทร์เนรมิตเมื่อไม่นาน วันนี้ปรากฏว่า ท่านเกิดอาการกระวนกระวายร้อนรน พอทราบว่า หลวงตาจะมาที่ลาว ท่านจึงได้มารอพร้อมกับบอกว่า พญานาคตามท่านมาจากหนองคายมาอยู่ด้วย ผมสังเกตดูท่าน เห็นมีอาการแปลก ดวงตาแดงกล่ำคล้ายตาพญานาค 

        หลังจากนั้น ผมได้เดินไปที่วิหารหลังหนึ่ง ซึ่งภายในมีรอยพระพุทธบาทโบราณตั้งแต่เมื่อครั้งพุทธกาล สวยงามมาก นอกจากนั้น ภายในพระวิหารยังมีพระพุทธรูปเสี่ยงทายอยู่องค์หนึ่ง ผมก็เลยถือโอกาสเสี่ยงทายเรื่องเดียวกันกับเมื่อครั้งอยู่วัดหลวงพ่อพระใสเมื่อวันก่อน ปรากฏว่า ผลของการเสี่ยงทายตรงกัน เมื่ออธิษฐานจิตว่า หากจัก(....) ในภพในชาตินี้ ขอให้พระมีน้ำหนักมาก ก็ปรากฏพระหนักมาก เมื่ออธิษฐานว่า หากจักสำเร็จขอให้พระมีน้ำหนักเบา ปรากฏว่า พระมีน้ำหนักเบาหวิวลอยละลิ่วขึ้นเหนือศรีษะจนสุดแขน ก็ดูอัศจรรย์ดี



พระพุทธรูปเสี่ยงทาย


          ต่อมา คณะของพวกเรา ได้เดินไปดูบริเวณที่กำลังก่อสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา ที่อยู่บนเนินเขาตรงข้ามวิหาร ต้องเดินข้ามสะพานไป และเดินสำรวจดูบริเวณที่จะสร้างพระพุทธรูปองค์ที่ 9 เพื่อให้เสร็จพิธีฉลองในวันที่ 31 มีนาคม 2555 ที่กำลังจะมาถึง แบบเร่งด่วนมากๆ หลวงตาเณรและแม่ชี พาคณะสำรวจพื้นที่ แม่ชีรูปนี้ว่ากันว่า ท่านมีดีพอสมควรจึงอยู่ที่วัดแห่งนี้ได้ เพราะภูมิที่นี่ น่าจะเป็นภูมิของพระพุทธเจ้า เพราะมีรอยพระพุทธบาท และกำลังสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ





            ต่อมา ผมได้รับทราบจากชาวลาว ที่มาช่วยแม่ชีที่วัดแห่งนี้ว่า ใกล้ๆกับบริเวณที่สร้างเจดีย์นี้ ประมาณ 500 เมตร ยังมีรอยพระพุทธบาทอีกสี่รอย ผมจึงถือโอกาสไปดูทันที รอยพระพุทธบาทแห่งนี้ หากดูผิวเผินจะไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่จากคำบอกเล่าของโยมบอกว่า แม่ชีท่านนิมิตเห็นจึงได้มาพบ แต่ผู้คนทั่วไปยังไม่ทราบ ผมจึงบอกทุกคนว่า หากอยากได้บุญมาก วันที่ 30 มีนาคมที่จะถึงนี้ ให้มาช่วยกันเอาดินออก และทำความสะอาด คงจะเห็นชัดเจนขึ้น







          🔸 9. สงเคราะห์สตรีลาวผู้เป็นโรคมาร

          เมื่อดูรอยพระพุทธบาทเสร็จแล้ว พวกเราย้อนกลับมาที่วัด เพื่อรับประทานอาหารที่พี่น้องชาวลาวได้เตรียมไว้ให้ หลังจากรับประทานเสร็จแล้ว มีสตรีท่านหนึ่ง เป็นโรคท้องมาร มีน้ำบวมทั้งตัว ไปหาหมอ หมอไม่สามารถรักษาได้ ต้องกลับมารอวันตายที่บ้าน เธอทรมานมาก แต่เธอก็มาต้อนรับคณะของพวกเรา ต่อมามีโยมสตรีท่านหนึ่ง เดินมาที่ผมแล้วบอกว่า... "อาจารย์ซอยเพิ่นแน บ่ฮู้เป็นอีหยัง ซอยเพิ่นแนเด้อ"... (อาจารย์ช่วยเธอด้วย ไม่รู้เป็นอะไร ช่วยเธอด้วย) ตอนแรกผมพิจารณาแล้ว คงเป็นโรคกรรมแน่ๆ แล้วผมจะช่วยเธออย่างไรหนอ ผมไม่อยากยุ่งเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรนี้เลย เธอนั่งมองผมด้วยอาการที่เศร้า และรอความหวังอะไรสักอย่าง ผมพิจารณาเห็นความทุกข์ของเธอ ชั่งมากมายเหลือเกิน ในจิตตอนแรกบอกว่าจะไม่ยุ่ง แต่ไม่นานจิตของผม กลับบังเกิดความเมตตาขึ้นมาอย่างฉับพลัน ผมจึงเดินไปที่เธอ แล้วบอกเธอว่า ผมจะช่วยสงเคราะห์เธอนะ ยื่นมือทั้งสองมาซิ แล้วผมได้ยื่นมือทั้งสองของผมวางอยู่เหนือฝ่ามือของเธอ พร้อมกับอธิษฐานจิตตามวิธีของผม ขอเจรจากับเจ้ากรรมนายเวรของเธอว่า... "สิ่งที่ผ่านมาแล้ว ล้วนทำให้เกิดความทุกข์ทั้งสองฝ่าย ความอาฆาตแค้นนั้น มันทำให้ทุกข์แสนสาหัส กรรมที่เธอได้กระทำลงไปแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ ก็สมควรได้รับกรรมอยู่ แต่บัดนี้ เธอก็กำลังได้รับกรรมแล้ว ขอท่านจงโปรดอโหสิกรรมเถิด ให้น้อมระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์เป็นที่ตั้ง พร้อมกับกล่าวอโหสิกรรมเถิด แล้วท่านจักพ้นทุกข์ไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น"... ผมได้แผ่เมตตา พร้อมกับอัญเชิญพลานุภาพทั้งหลาย ด้วยหัวจิตหัวใจที่บริสุทธิ์ พร้อมกับถ่ายเทพลังเข้าสู่ร่างกายของเธอ ประมาณ 5 นาที เป็นอันเสร็จพิธี 

          หลังจากเสร็จสิ้นลง ผมถามเธอว่า รู้สึกเช่นไร เธอพูดระล่ำระลักออกมาพร้อมน้ำตาว่า... "ข้าน้อยรู้สึกดี มีพลังอันอบอุ่นวิ่งไปทั่วกายข้าน้อย"... ผมจึงบอกเธอว่า มาภาวนาและช่วยเหลือทางวัดนะ เอาธรรมภาวนาเป็นโอสถ อุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรด้วยการภาวนานะ เพราะผมบอกเจ้ากรรมนายเวรไว้แบบนั้น เธอยกมือไหว้ผมหลายครั้ง (ความจริงผมไม่เห็นเจ้ากรรมนายเวรหรอก แต่ก็พอรู้สึกถึงบางอย่างสื่อกลับมา)   

          ท่านทั้งหลาย หัวจิตหัวใจแห่งความเมตตาอันบริสุทธิ์นั้น มันชั่งมีพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ ที่ผมไม่สามารถที่จะอธิบายออกมาเป็นตัวอักษรได้ แม้จะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อย การให้กำลังใจคนที่กำลังอยู่ในความทุกข์แสนสาหัสนั้น ก็นับเป็นกุศลที่ประเสริฐแล้ว ผมได้กระทำลงไปแล้ว แม้จะเสี่ยงต่อการถูกอาฆาตของเจ้ากรรมนายเวรของผู้อื่น แต่จิตอันเมตตานั้น มันลืมเรื่องนี้ไปทันที นี่คือประสบการณ์ที่สำคัญที่สุดของผมอีกวาระหนึ่ง

         พวกเราได้เดินทางกลับถึงหนองคาย ประมาณเกือบหนึ่งทุ่ม ผม คุณหนุ่ม และคุณณี ขอแยกกลับโคราชที่ด่านเข้าเมืองหนองคาย กลับถึงโคราชประมาณเกือบตีหนึ่ง ตื่นเช้ามาต่างคนต่างกลับไปทำงานเช่นเคย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

         ท่านทั้งหลาย เมื่อท่านอ่านจบลงแล้ว ท่านคิดอย่างไร หากเกิดประโยชน์อยู่บ้าง ผมก็ขออนุโมทนา แต่หากเป็นเรื่องที่ไร้สาระ ก็ขอให้ท่านวางเฉยเสีย นึกเสียว่าเป็นการอ่านนิยายเรื่องหนึ่งก็พอนะครับ ส่วนผมก็ได้ทำหน้าที่ในเรื่องนี้จบลงอย่างบริบูรณ์แล้ว ก็ขอให้ทุกท่าน จงมีความสุขความเจริญทุกท่านเทอญ

         ขอเจริญในธรรม
         ดร.นนต์
         17 มีนาคม 2555


❇️ บันทึกนักภาวนา ภาคพิเศษ 2
❇️ เส้นทางบุญจากโคราช-หนองคาย 
    สู่เขตภูเขาควาย ประเทศลาว
    30-31 มีนาคม และ 1 เมษายน 2555 



🌼  ตอนที่ 2
🍂  อัศจรรย์ประเทศลาว 

🔸1. บุพบท

          เรื่องราวของการแสวงบุญ ณ เขตภูเขาควาย ประเทศลาว ที่เกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 30, 31 มีนาคม และ 1 เมษายน 2555 ในครั้งนี้ จึงเป็นวาระต่อเนื่องจากเมื่อครั้งที่เคยไปมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา ดังที่ได้นำเสนอไปแล้ว

          การเดินทางในครั้งนี้ เริ่มขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 29 มีนาคม 2555 ผมพร้อมทั้งคุณหนุ่ม (ผอ.ชยุต) และคุณปพน (ลูกน้อง ผอ.หนุ่ม) ได้ออกเดินทางจากโคราช ราวบ่ายสามโมง มุ่งหน้าสู่สำนักสงฆ์แสงจันทร์เนรมิต อำเภอเมือง หนองคาย เพื่อไปพักค้างคืนที่นั่น    พวกเราไปถึงที่นั่นราวสองทุ่มกว่า เมื่อไปถึงได้พบกับหลวงตาเณรและคณะญาติธรรม ที่จะร่วมเดินทางไปประเทศลาวด้วย ประมาณสิบคน เมื่อสนทนากันได้เวลาสมควรแล้ว หลวงตาเณรได้ขอตัวไปภาวนา ส่วนผม คุณหนุ่ม และคุณปพน ได้อาศัยนั่งภาวนาอยู่บนศาลา ซึ่งเป็นที่พักเช่นเคย 

          ค่ำคืนนี้ พวกเราก็ยังคงถูกทดสอบด้วยพลังของพวกมนต์ดำ ที่ส่งวัตถุมาลองของ มีเสียงวัตถุหล่นใส่หลังคาศาลาดังเปรี้ยงปร้าง อยู่เป็นระยะๆ แต่พวกเราคุ้นเคยเสียแล้ว จึงไม่ได้สนใจ ส่วนแม่ออก(ญาติธรรม) ที่นอนบนศาลาด้วยกัน ก็เคยผ่านศึกสู้รบกับพวกมารที่ภูลังกามาแล้ว จึงเฉยเสีย

          เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา ผมจึงได้ออกสำรวจบริเวณสำนักสงฆ์อีกครั้ง จึงพบว่า พระพุทธรูปนาคปรกหลวงพ่อองค์ขาว ได้สร้างใกล้เสร็จแล้ว  ต่อมา หลังจากอาหารเช้าแล้ว พวกเราได้มุ่งหน้าเดินทางสู่ประเทศลาว ผ่านสะพานมิตรภาพไทยลาวต่อไป

พระพุทธรูปหลวงพ่อองค์ขาวนาคปรก สำนักสงฆ์แสงจันทร์เนรมิต


🔸 2. ข้ามฝั่งแม่น้ำโขง
        สู่เขตภูเขาควาย ประเทศลาว

         คณะของพวกเรา เดินทางข้ามฝั่งไปยังภูเขาควาย ประเทศลาว ด้วยรถยนต์ส่วนตัวสองคัน และรถตู้เหมาของลาวอีก 1 คัน มีผู้ร่วมเดินทางประมาณยี่สิบกว่าคน ใช้เวลาในการเดินทางราว 3 ชั่วโมง ก็ถึงที่หมายคือ วัดสันติธรรม พระบาทด่านเพย แขวงเวียงจันทน์ วันนี้ ที่วัดดูคึกคักไปด้วยประชาชนชาวลาว เนื่องจากเป็นวันเริ่มต้นการเฉลิมฉลองพระธาตุเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี ซึ่งเป็นพระธาตุองค์แรก ที่สร้างขึ้นในรอบ 80 ปี ของประเทศลาว ด้วยบารมีของแม่ชีน้อย 

ป้ายโฆษณาข่าวบุญสมโภชน์พระธาตุเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี


🔸 3. ความมหัศจรรย์ของหลวงพ่อองค์ดำ

          พระพุทธรูปองค์ดำ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่หลวงตาเณรและลูกศิษย์ได้ร่วมกันสร้าง ตามที่หลวงตาเณรบอกว่า หลวงปู่ใหญ่บัญชาลงมา พระพุทธรูปองค์นี้ เป็นองค์ที่ 9 ที่สร้างก่อนองค์ที่ 7-8 เพื่อลัดคิวตามที่หลวงปู่ใหญ่บอก พวกเราจึงได้เดินทางไปดูสถานที่ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งได้ดำเนินการสร้างประมาณสิบกว่าวันก็เกือบจะแล้วเสร็จ เพื่อให้ทันพิธีเฉลิมฉลองพระธาตุเจดีย์ในคราวเดียวกัน 

         วันแรก ที่พวกเรามาถึง และกำลังยืนดูพระพุทธรูปองค์นี้อยู่ ปรากฏมีเม็ดฝนโปรยปรายมาเป็นสาย กินบริเวณรอบพระพุทธรูปประมาณสิบกว่าเมตร ท่ามกลางแสงแดดจ้า เมื่อเดินออกนอกบริเวณ ก็ไม่มีเม็ดฝนแต่อย่างใด ช่างผู้สร้างพระบอกว่า จะมีเม็ดฝนโปรยลงมาแทบตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น เพราะตลอดเวลาสามวัน ก็ปรากฏมีเม็ดฝนโปรยลงมาตลอดเวลา ประหนึ่งว่า พญานาค มาพ่นน้ำถวายพระพุทธรูปองค์ดำ

         ต่อมาในช่วงบ่ายวันแรก ที่พวกเราเดินทางไปถึง ได้พบพระพุทธรูปห้าพระองค์ ที่อยู่ใกล้กับพระองค์ดำ อยู่ในสภาพที่เก่า  คณะพวกเราจึงมีดำริที่จะซ่อมแซมด้วยการทาสีใหม่ เพื่อให้ทันในพิธีเฉลิมฉลองในคราเดียวกัน คุณป้าแสงผู้ใจบุญ ซึ่งเป็นผู้อุปฐากหลวงตาเณร ได้ดำเนินการจัดหาสี ญาติธรรมจึงได้ช่วยกันทำความสะอาดและทาสีใหม่ งานนี้สำเร็จด้วยผู้หญิง สมกับเป็นเมืองของผู้หญิง



แม่ออกชาวไทย ช่วยกันทำความสะอาดพระพุทธรูป




เจริญพระพุทธมนต์


🔸 4. ค้นหาและบูรณะพระพุทธบาทสี่รอย

          ในเช้าของวันที่ 31 มีนาคม 2555 พวกเราได้ร่วมกันปลูกต้นศรีมหาโพธิ์และต้นสาระ ที่นำไปจากประเทศไทยหลายต้น ขณะที่ทำพิธีปลูกต้นโพธิ์อยู่นั้น ปรากฏมีเม็ดฝนโปรยลงมาเป็นระยะ เฉพาะในบริเวณนั้น 

          หลังจากได้ปลูกต้นโพธิ์เสร็จแล้ว พวกเราได้เดินทางไปยังบริเวณพระพุทธบาทสี่รอย ที่อยู่ห่างจากวัดประมาณ 500 เมตร เมื่อไปถึงแล้ว หลวงตาเณรได้จุดธูปบอกกล่าว และนำสวดมนต์เป็นพุทธบูชา พวกเราได้ร่วมกันทำความสะอาดบริเวณนั้น ตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงช่วงบ่ายก็แล้วเสร็จ ตอนแรกรอยพระพุทธบาท เห็นแค่สองรอย อีกสองรอยนั้นทุกคนคิดว่าใช่ แต่เมื่อผมพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว คิดว่าคงไม่ใช่ ผมจึงต้องเดินสำรวจดูในบริเวณใกล้เคียง จึงพบอีกสองรอยที่ดินกลบอยู่ รวมทั้งรอยเล็กๆอีกสองสามรอย จึงได้ทำการขุดแต่งหน้าดินออก จึงมองเห็นรอยพระพุทธบาทชัดเจนมากขึ้น ส่วนรอยใหญ่ที่คิดว่าเป็นรอยพระพุทธบาทนั้น แท้จริงเป็นบ่อน้ำเป็นดานไห พอขุดเอาดินออกปรากฏว่ามีน้ำผุดขึ้นมามาก









มีรูปแผนที่ประเทศไทยนูนขึ้นมาอยู่ใกล้รอยพระพุทธบาท 
ประหนึ่งเป็นสัญลักษณ์บอกว่า ญาติธรรมชาวไทยจะมาเป็นผู้บูรณะรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ 
ด้วยบุญเก่าที่เคยบำเพ็ญอยู่บริเวณนี้กระมัง


รอยพระพุทธบาทครบทั้งสี่รอย

คล้ายรอยบาทสาวก


🔸 5. พิธีสมโภชน์พระธาตุเจดีย์องค์แรก 
      ในรอบ 80 ปีของลาว

           ก่อนที่พิธีเฉลิมฉลองพระธาตุเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี จะมีขึ้นในช่วงหัวค่ำ ในตอนเช้าของวันที่ 31 มีนาคม 2555 แม่ชีน้อยและคณะได้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้รับมาจากประเทศอินเดีย ที่เมืองหลวงพระนครเวียงจันทน์ โดยการแห่ด้วยขบวนรถ มีข้าราชการและผู้ใหญ่ทางการลาวมาร่วมงานหลายท่าน ส่วนผมเองได้นำพระบรมสารีริกธาตุจำนวน 2 ผอบ ไปมอบให้กับแม่ชี ซึ่งท่านได้นำไปบรรจุในพระธาตุเจดีย์ด้วย   นอกจากนั้น ผมและคุณหนุ่มได้ถวายเงินปัจจัย เพื่อร่วมสร้างพระธาตุเจดีย์จำนวนหนึ่ง รวมทั้งคณะของหลวงตาเณรและญาติธรรม ก็ได้นำผ้าป่ามาถวายในครั้งนี้ด้วย




ดร.นนต์ถวายพระบรมสารีริกธาตุและปัจจัยแด่แม่ชีน้อย 
พร้อมได้ถ่ายภาพร่วมกันกับคณะญาติธรรมจากเมืองไทย


          ต่อมา พิธีเฉลิมฉลองพระธาตุเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี ในรอบ 80 ปี ของประเทศลาว ได้เริ่มขึ้นในค่ำคืนของวันที่ 31 มีนาคม 2555 โดยมีพิธีสวดมนต์ สลับกับการลำหรือแหล่มงคลทำนองลาว ตลอดทั้งคืน โดยมีทั้งพระสงฆ์ แม่ชี แม่ขาว อุบาสกอุบาสิกา ทั้งจากประชาชนชาวลาว และชาวไทย จำนวนหลายร้อยคน ผมเองหลังจากได้สวดมนต์หน้าพระพุทธรูปหลวงพ่อองค์ดำแล้ว ได้ไปนั่งภาวนาอยู่ด้านหลังของพระเจดีย์ ท่ามกลางเสียงสวดมนต์และการแหล่มงคลสลับกันไป สมาธิมีทั้งสงบบ้าง พิจารณาธรรมบ้าง เหนื่อยก็ล้มตัวลงนอนภาวนา กึ่งหลับกึ่งตื่น จึงฝันเป็นเรื่องเป็นราวตามทำนองการแหล่ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานนครเวียงจันทน์ เรื่องราวของพระนางผมหอม เรื่องราวของพระเวสสันดร และเรื่องราวของพระนางผุสดี ฟังแล้วก็ชั่งไพเราะจับใจ เสมือนเรื่องจริงและเรื่องฝัน เสมือนอยู่ในโลกอีกมิติหนึ่ง เสมือนอยู่ในเหตุการณ์ของเรื่องราวเหล่านั้นจริง  เสียงของคนลำก็ชั่งไพเราะ เสียงของพระที่สวดทำนองลาวก็ชั่งไพเราะ นี่หนอ เสียงแห่งโลก เสียงแห่งมนต์ เสียงแห่งธรรม แม้จะอยู่ที่แห่งใด ก็ชั่งมีแต่ความสุขเบิกบาน ด้วยเพราะเหตุแห่งศรัทธาในพระศาสนา 

         และต่อมา ประมาณตีสี่ ขณะที่ผมครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น ก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยเสียงตะไล ที่ถูกจุดดังขึ้นหลายนัด พร้อมกับเสียงอื้ออึงของผู้คน คล้ายเสียงสาธุการ ผมเองถึงกับต้องตื่นขึ้นมานั่งภาวนาต่อ  และมาทราบในภายหลังว่า มีพระแก้วเสด็จมาทางอากาศ มายังปะรำพิธี 1 องค์ ขนาดเท่าใดผมไม่ทราบ เพราะไม่ได้เห็น จึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในค่ำคืนนี้ ความจริงผมไม่แปลกใจหรอก เพราะผมก็เห็นพระและวัตถุศักดิ์สิทธิ์ เสด็จมาทางอากาศอยู่เป็นประจำ




พิธีเฉลิมฉลองหรือชาวลาวเรียกว่า การสมโภชน์พระธาตุเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี 
ซึ่งตั้งชื่อตามที่มาของแม่ชีน้อย


🔸 6. สงเคราะห์สตรีลาว
        ผู้เป็นโรคท้องมาร (ครั้งที่ 2)

          ในช่วงเช้าก่อนกลับเมืองไทย วันที่ 1 เมษายน 2555 สิบเอกอารีได้เดินมาหาผม แล้วบอกว่า... "อาจารย์ช่วยไปสงเคราะห์พี่สาวชาวลาว ที่อาจารย์เคยช่วยรักษาโรคท้องมาร เมื่อคราวที่แล้วด้วยครับ"... ผมจึงต้องเดินกลับไปยังบริเวณเจดีย์อีกครั้ง พอไปถึงก็พบกับสตรีชาวลาว ผู้ที่ผมเคยช่วยสงเคราะห์อธิษฐานจิตช่วยรักษาโรคท้องมาร ที่หมอไม่รับรักษาแล้ว ด้วยจิตอันเมตตาเมื่อคราวที่แล้ว (11 มีนาคม 2555) ผมเองก็รักษาไปตามวิถีจิตของผม ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะรักษาได้จริง ก็ทำๆไป เพื่อให้กำลังใจแก่เธอ แต่พอมาวันนี้ เธอเล่าให้ฟังว่า หลังจากผมสงเคราะห์เธอแล้ว เธอเกิดปีติสามารถกินอาหารได้มาก ความเจ็บปวดทรมานลดลง เธอสามารถนอนพลิกกายได้ สามารถนั่งภาวนาได้ ทำตามที่ผมบอก ทุกวันนี้ร่างกายที่บวมใหญ่ไปด้วยน้ำ ได้ยุบลง ร่างกายมีเนื้อมีเลือดมากขึ้น การกิน การนอน การขับถ่ายดีขึ้น ผมจึงได้สงเคราะห์เธออีกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นลง ผมถามเธอว่า รู้สึกเป็นอย่างไร เธอตอบว่า คราวที่แล้วมีพลังวิ่งเข้าสู่กายเธอมากกว่าครั้งนี้ ผมจึงได้แต่ยิ้มๆ และให้พรเธอ ให้หายไวไว

         ท่านทั้งหลาย อย่าเข้าใจผิดว่า ผมเป็นผู้วิเศษที่สามารถรักษาโรคร้ายได้ ผมกระทำไปด้วยจิตอันบริสุทธิ์ ด้วยจิตอันเป็นเมตตา ผมไม่รู้หรอกว่า จะได้ผลจริงๆ แต่ผมกระทำไปเพื่อให้กำลังใจเธอต่างหาก แม้ขณะที่กระทำนั้น จะหมดพลังไปมากก็ตาม แต่เป็นพลังบุญที่เกิดจากจิตอันบริสุทธิ์ ก็นับเป็นกุศลแล้ว ความจริงไม่จริงทั้งหลาย ผมขอทิ้งไว้เบื้องหลังตลอดกาล

🔸 สรุปท้ายเรื่อง
 
         ท่านทั้งหลาย เรื่องราวที่ผมได้เขียนไปทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องจริงที่พบเจอมา แต่ความจริงแท้ทั้งหมด มันยังเกินวิสัยของผมที่จะรู้แจ้งได้ทั้งหมด ขอให้ท่านอ่านแบบวางใจไว้กลางๆ ค่อยๆพิจารณาตามไปว่า ส่วนไหนเป็นความจริงได้บ้าง ส่วนใดยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัย ข้อความใดต้องพิจารณา ข้อใดไม่สามารถเป็นความจริงได้ ขอให้ใช้ปัญญาพิจารณาทั้งความจริงและไม่จริง เป็นอุบายธรรม แล้วท่านจะได้ประโยชน์จากการอ่านเรื่องราวเหล่านี้

         ขอเจริญในธรรม
         ดร.นนต์
         12 เมษายน 2555



นิราศหนองคาย ๒๕๕๖
"สภาวธรรมตามนิมิต"
..................................................

         ๑๖-๑๗ พฤศจิกาพาไปถึง
ที่แห่งหนึ่งซึ่งผูกพันมาก่อนหนา
ไปตามสัจจะที่เอ่ยสัญญา
ว่าผู้ข้ามาสร้างบุญบารมี
เมื่อคืนก่อนเธอผู้อยู่ในโลกทิพย์
มากระซิบเป็นนัยจิตวิถี
ว่าข้าบาทคือนางนาคี
สถิตอยู่ที่บ่อน้ำโบราณ

          พอรุ่งเช้ามีบุรุษโทรมาหา
ว่าหลวงตา(เณร)ผู้เคร่งกัมมัฏฐาน
ขอแรงบุญบารมีของอาจารย์
มาอธิษฐานช่วยกันอีกครา
ปีก่อนพากันไปภูเขาควาย
บากบั่นกันไปตามปรารถนา
สร้างพระพุทธรูปไว้บูชา
ณ แผ่นพสุธาประเทศลาว

         ปีนี้ หลวงตาสร้างพระองค์ใหญ่
ประดิษฐานไว้ข้างพระองค์ขาว
นับเป็นองค์ที่สิบต่อจากลาว
บนปฐพีชาวเมืองหนองคาย
จึ่งนำพระบรมสารีริกธาตุ
แลวัตถุธาตุไปบรรจุไว้
เพื่อสืบพุทธศาสนาต่อไป
ประกาศไว้แผ่นดินนี้มีธรรม

         ราตรีก่อนวันลอยกระทงปีนี้
มีพิธีสมโภชตั้งแต่หัวค่ำ
กวนข้าวทิพย์ด้วยสาวพรหมจรรย์
จุดตะไลคั่นกันตามประเพณี
มุมหนึ่งมีเทพแฝงร่างสังขาร
แผ่ญาณผ่านร่างสตรีผิวสี
ใครจะให้ช่วยรีบมาอย่ารอรี
ปู่ตาเจ้านี้มาจากฝั่งลาว

         โอ้หนอ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์
ชั่งแสนทุกข์สุดแท้จริงหนอท้าว
มีความสุขบ้างก็แสนชั่วคราว
เธอ ท้าว ก้าวไปในวงพิธี
หนุ่มนี้ สาวนั่น คลานเข้าไปหา
ขอปู่ตาปลดทุกข์ที่เป็นอยู่นี้
ปู่ตาบอกสารพัดวิธี
คราวนี้คงหายแน่กันทุกคน

          อีกมุมหนึ่ง บุรุษผู้ยังโง่เขลา
พิจารณาเข้าในความสับสน
เห็นความสุขทุกข์ทั้งเทพทั้งคน
ปะปนอลหม่านทั้งเขาทั้งเรา
มนุษย์สุขทุกข์ก็แบบมนุษย์
เทวดาสุขทุกข์ก็แบบเขา
สัตว์โลกล้วนมีทุกข์ไม่สร่างเซา
มีสุขใดเล่าที่เจ้าว่ามี

         เราผู้เขลาเฝ้าภาวนาเพียรพร่ำ
พิจารณาย้ำคำว่าทุกข์อีหลี
แล้วผู้ยังหลงเพลินอยู่ในวารี
ยังสุขดีกันอยู่หรืออย่างไร
จงกรมภาวนาไปตามถนน
เห็นผู้คนมีทุกข์มากแค่ไหน
ใจเรายิ่งทุกข์มากกว่าใครใคร
น้ำตาจึงไหลออกมาคลอคลอ

         กลับมานั่งภาวนาต่อ
ข้าขออุทิศให้ท่านตามคำขอ
ชาวโลกทิพย์โลกวิญญาณที่มารอ
อีกทั้งขอให้ทุกคนที่มา
บุญใดใดที่เราสร้างสมมาดี
ขอให้สุขีทั้งกายใจหนา
ทุกข์โศกเศร้าที่เคยมีมา
ขอธรรมรักษาทุกท่านเทอญ

         ขอเจริญในธรรม
         ดร.นนต์
         ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖




พิธีกวนข้าวทิพย์ และปล่อยโคมไฟเฉลิมฉลอง