วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

(226) สภาวะของพระโสดาบัน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล

ท่านทั้งหลาย ผู้ใดเห็นกายในของนักภาวนาท่านใดเป็น "พระ" หรือเห็นดวงจิตของท่านนั้นใสแล้ว จะด้วยญาณในหรือตาทิพย์ก็ดี ก็อย่าได้สงสัยในความเป็น "พระอริยะ" หรือ "อริยบุคคล" ของท่านนั้นเป็นอันขาด เพื่อจะได้ไม่ก้าวล่วงจนเกิดกรรมโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังจะเห็นได้จากคำสอนของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ดังนี้


 

ใจเทวดา - ใจพรหม - ใจพระ

ถ้าหากว่า ช่วงใด ใจของเรามี "หิริ" ความละอายบาป
"โอตตัปปะ" กลัวสะดุ้งต่อบาป ไม่กล้าที่จะทำบาป
ทั้งในที่ลับ ที่แจ้ง ในขณะนั้น ใจของเราเป็น "เทวดา"
แต่ กายของเราเป็นมนุษย์...


หากว่า ในขณะใด ที่เรามาบำเพ็ญสมาธิภาวนา
ทำให้จิตมีสมาธิ สงบนิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน
บรรลุฌานตามลำดับ หรือ มีสมาธิแน่วแน่
รู้ธรรมเห็นธรรม ในช่วงนั้น กายของเราเป็นมนุษย์
แต่ จิตใจของเรา ก็เป็น "พระพรหม"
พระพรหม คือ ผู้มีใจสว่างไสว เบิกบานแช่มชื่น

ถ้าในอันดับนั้น ใจของเรานี้ ละกิเลสบาปกรรม
ละสังโยชน์ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา ลีลัพพตปรามาส
ได้เด็ดขาด มีความรักตั้งมั่นในคุณพระรัตนตรัย
ไม่คลอนแคลน "สามารถสละชีวิต" เพื่อ บูชาข้อวัตรปฏิบัติ
ตามหลักคำสอน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้ไม่ย่อท้อ … ในช่วงนั้น กายของเราเป็นมนุษย์
แต่ ใจของเรา มันกลายเป็น "พระ"
เป็นพระอริยเจ้า ขั้นพระโสดาบัน
(พระธรรมคำสอน...หลวงปู่แหวน สุจิณโณ)
 
นอกจากนั้น ยังมีคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง ท่านได้กล่าวถึง สภาวะของพระโสดาบันดังนี้
 
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพระโสดาบัน

เมื่อจิตเข้าถึงพระโสดาบัน คือ มีความมั่นคง มีความแน่วแน่ว่า เวลานี้เราเป็นพระโสดาบัน ถ้าญาติโยมจะย้อนถามว่าจะรู้ได้อย่างไร ก็ขอตอบว่ารู้แน่ การเจริญธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเ
จ้า มีญาณเป็นเครื่องรู้ ญาณจะบอกคือ

๑. จิตจะมีความมั่นคง
๒. อารมณ์จะมีความสุข
๓. จะเห็นว่าความตายเป็นของธรรมดา เราต้องตายแน่
๔. จิตจะไม่ห่วงชีวิต ไม่กลัวความตาย
๕. ในเมื่ออารมณ์จิตเข้าถึงขนาดนี้ ก็มีปัญญาสูง ญาณย่อมเกิด คำว่าญาณก็คืออารมณ์ เป็นอารมณ์ที่เกิดจากปัญญา มันจะบอกเองว่า เวลานี้เราถึงพระโสดาบันแล้ว
 
(โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
 
 
 
 
 
ท่านทั้งหลาย ผู้ที่เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลแล้ว ย่อมรู้แก่ใจ แม้จะมีผู้ใดบอกหรือไม่บอกก็ไม่ได้สงสัยในภูมิธรรมขั้นนั้นๆ บางท่านจะมีสัญญาณบางอย่างบอกล่วงหน้า บางท่านก็ถึงกับโลกธาตุสั่นไหวบังเกิดขึ้นที่ใจ บางท่านก็เกิดแสงสว่างไสวพร้อมกับญาณรู้เห็นตามบุญบารมี และสภาวะที่เข้าถึงธรรมนั้นก็เป็นเพียงเศษเสี้ยววินาที ถึงแล้วก็แค่นั้น ไม่ได้ติดอกติดใจหรือยินดียินร้ายในสภาวะนั้น วางเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหลือไว้แต่สัญญาความจำเพื่อนำมาบอกเล่าสู่กันฟังเท่านั้น เพราะการละสังโยชน์ได้บังเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติแล้ว ปฏิบัติไปเถิด เมื่อถึงแล้วจะรู้เอง เพราะผู้ที่นำมาอธิบายเป็นแต่เพียงลมปาก ส่วนของจริงมันอยู่ที่ใจ จึงมิสามารถยกออกมาอธิบายได้ทั้งหมด
 
ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
3 ตุลาคม 2556

 

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

(224) การพิจารณาธาตุสี่ (กายานุสติ)



 
 
กายานุสตินี้มีคุณให้นักภาวนาได้พิจารณาสัจธรรมของโลกสมมุติ เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเป็นธรรมดา ร่างกายสังขารนี้เกิดมาแต่ธาตุทั้งสี่ที่มารวมกันในครรภ์มารดา แล้ววิญญาณเข้ามาถือครองเอาว่าเป็นเขาเป็นเรา เมื่อกายแตกดับไป ธาตุทั้งสี่ก็แยกสลายไปเหลือแต่ธาตุดิน ดินนั้นไม่เหลือความเป็นตัวตนของผู้ใด มองดูเท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าเม็ดดินที่เรากำอยู่นั้นเป็นชิ้นส่วนของผู้ใดบ้าง เมื่อถึงกาลเวลาหนึ่งดินและโลกใบนี้ก็แตกสลายไป จักรวาลที่เป็นที่อยู่ของโลกใบนี้ก็ดับสลายไป แล้วเกิดขึ้นมาใหม่เป็นวัฏฏะ ท่านจึงว่าเป็นอนัตตา คือความไม่มีตัวตนเหลืออยู่ พิจารณาไปเถิด ตามสัญญาจำได้แบบนี้ไปก่อน เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่ายในมูตรในคูถนี้ เพื่อกิเลสจะได้เบาบางลง เมื่อท่านใดมีภูมิธรรมถึงขั้นอนาคามีขึ้นไปแล้วนั้นล่ะ วิปัสสนาญาณการท่องกายานี้ จึงจะแจ่มแจ้งเป็นอัตโนมัติ และเป็นวิปัสสนาญาณของจริง เมื่อนั้นความเบื่อหน่ายจะถึงขั้นสูงสุดถึงกับถอดถอนกิเลสได้อย่างสิ้นเชิงในขั้นอรหันตผล

ร่างกายสังขารนี้ นอกจากจะเป็นก้อนธาตุทั้งสี่แล้ว กายนี้ก็ยังเป็นเครื่องมือของใจ ใจคิดดีก็พาร่างกายไปสร้างบุญกุศล ใจคิดไม่ดีก็พาร่างกายไปสร้างกรรมชั่วเป็นบาปอกุศล ทั้งที่กายนี้เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เมื่อตายไปกายนี้ก็ย่อยสลายไปไม่เจ็บไม่ร้อนไปกับผู้ใด มีแต่ใจเท่านั้นล่ะ ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดท่องไปในภพน้อยแลภพใหญ่ เสวยทั้งบาปและบุญที่พาร่างกายไปสร้างสมมา จงพิจารณากันเอาเองเถิด เพราะทุกสิ่งเกิดขึ้นแต่ที่ใจ และดับลงได้ก็แต่ที่ใจเท่านั้น จงรักษาและเฝ้าระวังที่ "ใจ" อย่าให้ได้ประมาทหลงไปในทางชั่ว เท่านี้ก็นับว่าเป็นบุญที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
 
ขอเจริญในธรรมดร.นนต์
30 กันยายน 2556
(ภาพจาก Apisitgo Onkham)