วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

(255) "ธรรม" หน้าที่สุดท้าย ของบุรุษผู้หนึ่งที่มีต่อบิดามารดา



"ธรรม" หน้าที่สุดท้าย 
ของบุรุษผู้หนึ่ง ที่มีต่อ บิดา-มารดา

             ท่านทั้งหลาย พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ผู้ที่จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์นั้นสุดแสนยาก แต่คนทั้งหลายกลับไม่เข้าใจ จึงได้แต่หลงผิดคิดกระทำชั่วมิเว้นวัน จะมีสักกี่คนที่ได้พิจารณาตามพระพุทธองค์ว่า การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ชั่งแสนยาก เมื่อเกิดมาแล้ว จะมีสักกี่คนที่ได้พบกับพระพุทธศาสนา เมื่อได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว จะมีสักกี่คนที่ได้ทำบุญรักษาศีล เมื่อได้ทำบุญรักษาศีลแล้ว จะมีสักกี่คนที่ได้เจริญภาวนากัมมัฏฐาน เมื่อได้เจริญภาวนากัมมัฏฐานแล้ว จะมีสักกี่คนที่ได้พบครูอาจารย์พระอริยเจ้า เมื่อได้พบครูอาจารย์พระอริยเจ้าแล้ว จะมีสักกี่คนที่ได้สำเร็จมรรคผลและนิพพาน นั้นยิ่งยากแสนยากเข้าไปอีก ผู้มีปัญญา จึงจักพิจารณาได้ เมื่อพิจารณาได้แล้ว จึงแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ หนทางแห่งความพ้นทุกข์ คือ การเดินตามคำสอนของพระพุทธองค์ อาจช้าหรือเร็ว ก็ด้วยบุญบารมีที่สั่งสมมาต่างกัน แต่สุดท้ายก็จะไปสู่จุดหมายปลายทางเดียวกัน คือ ความพ้นทุกข์จากวัฏฏะ อันน่าสงสารนี้ไปได้ในที่สุด

             ท่านทั้งหลาย ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ก็เพราะบุรุษผู้หนึ่ง ได้พิจารณาแล้วเห็นจริงตามนั้น จึงได้แสวงหาหนทางแห่งความพ้นทุกข์ ค้นหามานานก็หลายปีแล้ว เริ่มด้วยการปฏิบัติเองแบบลองผิดลองถูก มีทั้งถูกทางและหลงทางบ้างก็เป็นธรรมดา ครั้นต่อมา มีบุญได้พบกับครูอาจารย์ และพระอริยเจ้าก็หลายท่าน ได้พบกับกัลยาณมิตรก็หลายคน ได้พบกับญาติธรรมก็มากหน้าหลายตา ต่างพึ่งพาอาศัยกันและกัน เพราะเราต่างฝากตัวเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า เพื่อสร้างบุญบารมี วิถีชีวิตจึงต้องเป็นไปตามนี้

              ท่านทั้งหลาย หน้าที่หนึ่งของนักสร้างบุญก็คือ นอกจากจะทำหน้าที่หลัก ด้วยการเพียรละกิเลสออกไปจากใจของตัวเองแล้ว ก็ยังมีหน้าที่อื่นๆ ที่ต้องกระทำไปพร้อมๆกัน คือ การอนุเคราะห์ หรือสงเคราะห์สัตว์โลก ผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญ ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามมงคลทั้ง 38 ข้อนั้นว่า เป็นผู้ประเสริฐยิ่ง โดยเฉพาะความกตัญญูต่อบิดามารดา ก็นับว่า เป็นมงคลอันสูงสุด หากนักภาวนาขาดคุณธรรมในข้อนี้ จักไม่มีวันเห็นธรรมได้เป็นอันขาด ด้วยเหตุดังกล่าว บุรุษผู้ยังโง่เขลา จึงได้พยายามปฏิบัติต่อบิดามารดา ตามสติปัญญา และความสามารถ เท่าที่มีอยู่ ให้ดีที่สุด ดังตัวอย่าง ที่พอจะเล่าเป็นนิทานธรรมให้ทุกท่านฟังดังนี้


แจกแจงธรรมแก่มารดา 
ก่อนท่านละสังขาร

            ท่านทั้งหลาย มารดาของบุรุษผู้หนึ่ง ท่านมีจริตนิสัยชอบเข้าวัดทำบุญ รักษาศีล และเจริญภาวนามาตั้งแต่วัยเด็ก ครั้นวันใดไปวัดไม่ได้ ท่านก็จะผลัดให้ลูกหลานไปแทนมิเคยขาด นิสัยนี้กระมัง ที่ได้ตกทอดมาสู่ผู้เป็นบุตรชายและบุตรสาวในเวลาต่อมา เมื่อบุรุษผู้เป็นบุตรชายได้ดิบได้ดี ด้วยสองมือของบิดามารดาที่เลี้ยงดูมา เมื่อมีบุญวาสนา จึงได้กลับมาตอบแทนท่านทั้งสอง ด้วยคุณธรรมที่บังเกิดขึ้นที่ใจ มีสิ่งใดจักอำนวยความสุขทางกายก็หามาให้ มีสิ่งใดจักส่งผลความสุขทางใจ ก็พาท่านสร้างทำ คือ การพากันไปเจริญภาวนาตามกาลอันควร เมื่อเวลาของมารดาเหลือน้อยลง ผู้เป็นบุตรชายจึงเร่งพามารดาไปฟังธรรม และภาวนาอยู่กับหลวงพ่อ เพราะตระหนักว่า ทุกสิ่งนั้นไม่แน่นอน จึงต้องทำกาลปัจจุบันให้ดีที่สุด



แม่ภาวนาจงกรม ณ วัดโคกปราสาท ต.หลุ่งตะเคียน อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา


            ท่านทั้งหลาย ก่อนที่มารดาจะละสังขารเพียงสองวัน บุรุษผู้หนึ่งได้ไปรับมารดา เพื่อไปเจริญภาวนาแบบสัญจร กับคณะของหลวงพ่อ เมื่อไปถึง มารดาได้กล่าวกับผู้เป็นบุตรชายว่า "เงินที่ลูกให้แม่มานั้น แม่ได้นำไปทำบุญที่วัด(ใกล้บ้าน) เพื่อจองที่ใส่กระดูกของแม่แล้ว" ผู้เป็นบุตรชาย จึงได้พูดหยอกมารดาไปว่า "แม่กลัวเขาไม่ให้ไปอยูวัดด้วยหรือ หากเขาไม่ให้อยู่ด้วย ลูกจะนำเอากระดูกของแม่ไปไว้วัดป่าด้วยก็ได้"  มารดาพูดตอบว่า "แม่ไม่ไปหรอก อยากอยู่ใกล้ๆลูกหลาน" ผู้เป็นบุตรจึงรีบทักท้วงว่า "แม่ยังอยากวนเวียนอยู่กับลูกกับหลานอีกหรือ แม่ก็ฟังธรรมของหลวงพ่อ อยู่เป็นประจำมิใช่รึ หลวงพ่อบอกไม่ให้หลงยึดติดในลูกในหลาน ในข้าวของเงินทอง มันเป็นกิเลส จะกลายเป็นห่วงผูกวิญญาณไว้ไม่ให้ไปผุดไปเกิด นี่แม่ก็ทำบุญ สร้างสมบุญบารมีมามาก ก็ต้องไปเสวยบุญ มิใช่มาเสวยบาป" แม่ยิ้มพร้อมกับพูดตอบว่า "แม่ไม่รู้ว่าแม่จะมีบุญมากแค่ไหน แต่แม่กลัวอยู่อย่างเดียวก็คือ อย่าให้แม่ไปเมืองนรก"

            ท่านทั้งหลาย ณ เวลานั้น เสมือนมีสิ่งมาดลใจ ให้ผู้เป็นบุตรชาย ได้ยกเอาธรรมมาปลอบใจผู้เป็นมารดาว่า "ตั้งแต่ลูกเกิดมาก็ไม่เคยเห็นแม่ทำบาปกรรมอะไรแม้แต่น้อย เห็นมีแต่ทำบุญมาตลอด จึงไม่มีทางไปนรกได้ หากแม่ยังไม่สามารถไปนิพพานได้ ก็มีสวรรค์เป็นที่ไปอย่างแน่นอน แม่อย่าหลงเพลินอยู่บนสวรรค์เสียล่ะ"  ผู้เป็นมารดานั่งยิ้มและตั้งใจฟัง ผู้เป็นบุตรชายจึงพูดต่อไปว่า "เอาอย่างนี้ เพื่อเป็นการไม่ประมาท ขอให้แม่ตั้งจิตอธิษฐานเอานะ ขอให้แม่อธิษฐานว่า หากแม้นแม่เกิดในภพภูมิใด ก็อย่าได้หลงได้ลืมบุญกุศลที่สร้างมา หากเสวยบุญอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า ก็ขออย่าได้หลงได้ลืมพระพุทธศาสนา อย่าได้หลงลืมการรักษาศีลและภาวนา และก็ขออย่าได้เพลิดเพลินอยู่บนสวรรค์นาน ขอให้ตั้งจิตลงมาเกิดเป็นมนุษย์โดยไว จะได้ทันพระพุทธศาสนา เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ก็ขออย่าได้หลงได้ลืมพระพุทธศาสนา อย่าได้ลืมการรักษาศีลภาวนา และขอให้ได้ฟังธรรมพระอริยเจ้า เพื่อจะได้ไปนิพพานเร็วที่สุด" มารดายิ้มรับด้วยความปีติสุข

           หลังจากนั้น ทั้งมารดา ผู้บุตรชาย บุตรสาว และบุตรเขย ได้ร่วมเดินทางไปปฏิบัติธรรม กับคณะของหลวงพ่อ ที่อำเภอเสิงสาง และอำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึงเช้าวันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2557 และระหว่างที่ไปปฏิบัติธรรมด้วยกัน ทั้งบุตรชาย บุตรสาว บุตรเขย และญาติธรรม ต่างเกื้อกูลแม่ ต่างมีจิตใจต่อท่านแบบปีติสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เสมือนเป็นการสร้างความดีต่อกัน เป็นวาระสุดท้าย ส่วนมารดาท่านก็ดูเพลิดเพลิน และมีความสุขกับการฟังธรรม ด้วยสติด้วยพลังเท่าที่ท่านมีอยู่ การเจริญภาวนาก็สงบนั่งนิ่งได้นานเป็นพิเศษ การกินอยู่หลับนอนก็สุขสบายดี ไม่มีเหตุบอกล่วงหน้าใดๆ ให้เห็นว่า ท่านจะจากไป แม้ที่ผ่านมา หลวงพ่อจะได้บอกทุกคนแล้วว่า ผู้ที่มาภาวนาอยู่กับหลวงพ่อได้หมดอายุขัยแล้วก็มี แต่หลวงพ่อบอกใครไม่ได้ แต่นั่นก็เป็นแต่เพียงการรับรู้เบื้องต้น เพราะหลวงพ่อไม่ได้บอกว่าเป็นผู้ใด จึงปล่อยให้เป็นเรื่องธรรมดาจักดำเนินไป 


            อย่างไรก็ตาม มารดาผู้จากไป ท่านได้ฟังธรรมบทหนึ่ง ที่หลวงพ่อตั้งใจเทศน์สอนพิเศษก็คือ การไม่ให้หลงยึดติดในลูกในหลาน ในข้าวของเงินทอง เพราะจะทำให้จิตผูกพันเมื่อตายไปแล้ว วิญญาณจะมาเฝ้าสิ่งนั้นทันที และจะหลงไปอีกนานแสนนาน หลวงพ่อได้ยกเอาเรื่องวิญญาณบรรพบุรุษของคุณรี่ ที่เฝ้าสวนหมากอยู่ที่ซับมะรัว และในอนาคต จะมีผู้มาเฝ้าสถานแห่งนี้อีกยาวนาน นับเป็นพันๆปี เพื่อเป็นการเตือนสติเป็นครั้งสุดท้าย 

            และหลังจากนั้น ระหว่างการเดินทางกลับ ผู้เป็นพี่สาวได้บอกว่า "แม่ได้อธิษฐานจิต ตามที่ด็อกเตอร์บอกแล้วเมื่อคืน" นอกจากนั้น ผู้เป็นมารดา ยังได้ยกเอาธรรมคำสอนของหลวงพ่อ เรื่องวิญญาณผู้จะมาเฝ้าสวน ขึ้นมาสนทนากันตลอดเส้นทาง เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว แม้จะเห็นแม่มีความสุขดี พอจะลาจาก ผู้เป็นบุตรชายได้เข้าไปกราบตักและสวมกอดผู้เป็นมารดา มารดาก็ได้ให้พรผู้เป็นบุตรชายดั่งที่เคยกระทำ จึงนับเป็นหน้าที่ในวาระสุดท้าย ทั้งผู้เป็นมารดาและบุตรชาย ที่ได้แสดงออกต่อกันอย่างดีที่สุด



ภาพสุดท้ายของแม่ ขณะนั่งฟังธรรมหลวงพ่อ 
ณ สวนหมากป่าซับมะรัว อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา 
เช้าวันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2557 ก่อนละสังขาร 1 วัน


           ในที่สุด เช้าวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม 2557 เวลาประมาณ 08.30 น. มารดาได้ละสังขาร โดยไม่มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ยังเป็นปรกติดีทุกประการ เวลาจะสิ้นลม ท่านได้เรียกบุตรสาวคนเล็กที่อยู่ด้วย เพียงสองสามคำ ท่านก็ได้ละสังขารด้วยอาการสงบ ร่างกายยังอ่อนนุ่มเหมือนคนนอนหลับ เมื่อละสังขารไปแล้ว พ่อแม่ครูอาจารย์บอกว่า ท่านได้ไปจุติบนสวรรค์ชั้นที่หก อันเป็นชั้นสูงสุดทันที 
วิมานของท่าน สวยงามตระการตา และมีข้าบริวารมาก โยมแม่บอกหลวงพ่อว่า "ขอเสวยบุญบนวิมานสักระยะ แล้วจะรีบลงมาเกิดเพื่อจะได้ทันหลวงพ่อ" และยังได้บอกต่อไปว่า ท่านได้มาพบหลวงพ่อช้าไป บุญจึงยังไม่มากพอที่จะเห็นธรรมได้ ส่วนบาปในภพนี้ก็ไม่มีอะไร นอกจากได้เลี้ยงหม่อนเลี้ยงไหม เพื่อทอผ้าขายส่งลูกเรียน เพราะเป็นหน้าที่ของมารดาที่มีต่อลูกๆ และก็ได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว ส่วนบาปอื่นไม่มี จึงได้ละสังขารแบบสบาย

             ขอเจริญในธรรม
             ดร.นนต์
            14 มีนาคม 2557





อัฐิของแม่ขาวบริสุทธิ์ดั่งจิตใจของท่าน








แจกแจงธรรม 
เมื่อครั้งบิดาสิ้นอายุขัย ปี 2555

           ท่านทั้งหลาย ผมขอยกเอาตัวอย่าง การทำหน้าที่สุดท้ายของบุรุษผู้หนึ่ง ที่มีต่อบิดา เมื่อครั้งที่บิดาได้สิ้นอายุขัย เมื่อกลางปี 2555 ตามภูมิธรรมและสติปัญญา ที่เขามีอยู่ในขณะนั้น มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง และขอให้อ่านเป็นแต่เพียงนิทานธรรมเท่านั้น ดังข้อความจดหมายตอบคุณพร  เมื่อกลางปี 2555 ดังต่อไปนี้ครับ




            สวัสดีครับพร
            ต้องขอบคุณที่คอยให้กำลังใจด้วยดีเสมอมา คงเป็นเช่นนี้มาหลายภพแล้ว

            ผมเองไม่ได้บอกใครเท่าใดนัก เนื่องจากเกรงจะลำบากกัน คิดว่าเสร็จงานแล้วจึงจะแจ้งให้ทราบทีเดียว

            ผมเองได้เรียนรู้สภาวะธรรม ที่บังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา เป็นสภาวะจริงๆ ที่พ่อได้แสดงให้ผมได้พิจารณา ตั้งแต่อาการเจ็บป่วย อาการเวทนา อาการของลมหายใจสุดท้าย ที่สงบมากจริงๆ และสภาวะอจินไตยต่างๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน ผมเองไม่ได้มีอาการเศร้าโศกเสียใจ หรือยินดียินร้ายในสภาวะต่างๆ มีแต่อาการอุเบกขาล้วนๆ ทรงอยู่แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ เมื่อผมได้พิจารณาธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้น กลับปรากฏว่า ภายในจิตใจของผม ได้ตัดความห่วงใยแบบพ่อลูกออกไป ยังเหลือแต่ความเคารพเมตตาที่ผมมีต่อท่าน ภพชาติได้ตัดออกจากกัน ยังเหลือแต่ความกตัญญูในวาระสุดท้าย เหลือแต่การงานชอบ คือการดูแลชอบ จนถึงวาระสุดท้ายของท่าน ใครจะเห็นไม่เห็น หรือจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ในการกระทำของผมก็ชั่ง ความบริสุทธิ์แห่งจิตใจ ที่ทุ่มเทให้กับท่าน ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น

            เมื่อคราใด ที่พ่อเกิดอาการเวทนา ผมเป็นผู้พิจารณาอาการอยู่ เมื่อเห็นที่สุดแห่งอาการนั้น จิตใจอันกล้าหาญของผม ก็บังเกิดขึ้น ในการที่จะยกเอาธรรม ที่เพิ่งบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา และยกเอาธรรมตามสัญญา ด้วยคำสอนของพระพุทธองค์ และคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ ในเรื่อง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป การเสื่อมสลายของธาตุขันธ์ การมิมีตัวตนในเรา การทำงานของกายและของจิต การยึดมั่นถือมั่น และการปล่อยวางในธาตุขันธ์ เมื่อคราใด ที่ผมได้ยกเอาธรรมขึ้นมาแสดง เมื่อคราใด ที่ผมอธิษฐานจิตรวมพลังบุญทั้งหลาย เพื่อช่วยบรรเทาอาการเวทนาของท่าน ก็จะปรากฏคลื่นแห่งความเย็น จนทำให้ท่านอยู่ในอาการสงบอย่างน่าอัศจรรย์ ท่ามกลางญาติพี่น้องที่รายล้อมอยู่ เมื่อคราใด ที่ผมอาราธนาคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แลครูอาจารย์ ได้เมตตาแผ่ฉัพพรรณรังสี แลแสงสว่าง ปกคลุมมายังบิดาของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นเครื่องนำทางท่านไปสู่สุคติภูมิด้วยเถิด ก็ปรากฏว่า พ่อได้เห็นแสงสว่างนั้นจริงๆ พร้อมกับได้ยกมือขึ้นพนมมือ เพื่อเป็นการยืนยันว่า ท่านเห็นแสงสว่างจริงๆ 


            เมื่อใกล้สิ้นลมหายใจหลายชั่วโมง ผมได้ยกเอาธรรมขึ้นมาแสดง และถามพ่อว่า ยังห่วงธาตุขันธ์อยู่หรือไม่ พ่อตอบว่า "ไม่" พ่อยังมีสิ่งใดยังห่วงอยู่อีกหรือไม่ ท่านก็ตอบว่า "ไม่" ผมก็บอกพ่อว่า "จงทิ้งมันเสีย กายเน่าๆนี้ ให้เหลือแต่จิตที่ใสๆ เบาสว่างไสวนะ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์นะ ให้ภาวนาพุทโธนะ" พ่อพยักหน้า และคลายอาการเวทนาลง จนในที่สุด ท่านก็เข้าสู่ความสงบจนนาทีสุดท้ายแห่งชีวิต ไม่มีผู้ใดเห็นกับผม ไม่มีผู้ใดทราบว่า ผมได้เพ่งมองอาการสุดท้ายของท่าน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าผม ได้กำหนดลมหายใจแบบแผ่วเบาไปกับท่าน ผมบอกท่านเบาๆว่า ใจเบาๆ นึกถึงความใสความเย็น ตามแสงสว่างนะ นี่คือหน้าที่สุดท้ายของผม ที่มีต่อพ่อในภพสุดท้ายนี้

            นอกจากนั้น ความมหัศจรรย์หลายๆเรื่อง ได้บังเกิดขึ้นระหว่างผมกับพ่อนั้น ยากที่บุคคลอื่นจะเข้าใจได้ แม้ท่านจะเกิดอาการเวทนาที่สุดประมาณ แต่พลังแห่งบุญที่ท่านสั่งสมมา และพลังบุญของผมผู้เป็นลูก ต่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ต่างประคับประคองกันจนวาระสุดท้าย มีเหตุการณ์หนึ่ง ที่ผมอยากจะเล่าให้ฟังก็คือ เมื่อใกล้วาระท่านจะสิ้นลมหนึ่งวัน ผมได้กระทำหน้าที่เป็นสะพานบุญสุดท้ายให้ท่าน ด้วยการนำปัจจัยส่วนตัวของผมและบรรดาลูกๆ จำนวนหนึ่ง ไปให้ท่านอธิษฐานจิตยกขึ้นเหนือหัว แล้วได้นำไปถวายหลวงพ่อ ที่พวกเราเคารพศรัทธา เพื่อปรับปรุงถนนทางเข้าวัด เพื่อเป็นการสร้างผลานิสงส์ เป็นสะพานบุญนำท่าน ไปสู่ภพภูมิที่สว่างไสว ปรากฏว่า ขณะที่ผมได้ถวายปัจจัย และถวายภัตตาหารเช้าใกล้เสร็จแล้ว ได้มีโทรศัพท์จากหลานสาวว่า พ่อได้เสียชีวิตแล้ว ทันใดนั้น เสียงจั๊กจั่นร้องดังลั่นสนั่นหวั่นไหวไปทั้งวัด อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมกับมีคลื่นบางอย่างแผ่เข้ามาที่ตัวผม ผมได้ฟังก็นิ่งเฉย ไม่ได้แสดงอาการใดๆ หลวงพ่อก็ได้แสดงธรรมให้ฟัง 


            แต่เมื่อผมกลับไปถึงบ้าน กลับปรากฏว่า พ่อได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว ผมก็ยังงงๆอยู่ว่า เมื่อเกือบชั่วโมงที่แล้ว ท่านละสังขารไปแล้ว ผมจึงคาดว่า ท่านมารับอานิสงส์ด้วยจิตของท่านเอง แต่อายุขัยยังไม่สิ้น จึงต้องหวนคืนสู่ร่างอีกครั้ง รวมทั้งเรื่องนิมิตของผม ที่เห็นภาพล่วงหน้า เห็นอาการก่อนละสังขารของท่าน ก็เกิดขึ้นจริงตามนิมิต แม่ของผมก็เกิดนิมิตเห็นขบวนของเทวดา ตั้งแถวมารับ ตั้งแต่หน้าวัดมาจนถึงบ้านในวันที่ท่านจะสิ้นใจ อีกทั้งพ่อเองก็ฝันว่า มีเทวดามารับท่านขณะที่นอนอยู่โรงพยาบาล และที่แปลกคือ เนื้อหนังมังสาของท่าน ก็ยังอ่อนนุ่มเหมือนยังมีชิวิตอยู่ เหมือนกับนอนหลับอยู่ และมีอีกหลายๆอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้

           อย่างไรก็ตาม การเจ็บป่วย และการสิ้นอายุขัยของพ่อในครั้งนี้ ทำให้ผมมีอินทรีย์ที่แข็งแกร่งขึ้น มีโอกาสได้เรียนรู้สภาวะธรรมที่หาจากที่อื่นไม่ได้ และได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อ ประหนึ่งหลวงพ่อจะรู้ว่า ผมต้องใช้อินทรีย์ที่เข้มแข็ง ในการดูแลพ่อตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์ แบบไม่ได้หลับได้นอน ท่านจึงพานั่งภาวนา เดินจงกรม และฟังธรรม ตลอดคืนจนสว่างคาตา เสมือนท่านกำลังฝึกอินทรีย์ให้กับผม ซึ่งก็ได้ผล เมื่อผมนำมาใช้กับการดูแลพ่อ ถือวิกฤติเป็นโอกาส ในการฝึกความอดทน และถือโอกาสทดแทนบุญคุณบิดาเป็นที่สุด ก็ปรากฏมีคลื่นพลังบุญ คลื่นแห่งความปีติ คลื่นพลังประหลาดแบบอิ่มเอิบบอกไม่ถูก นี่คือผลที่ได้ปฏิบัติธรรมกับพระอริยเจ้า ได้รับการสั่งสอนจากพ่อแม่ครูอาจารย์ รวมถึงการมีกัลยาณมิตรธรรมที่ดี จึงทำให้เราผ่านพ้นวิกฤติของชีวิตมาได้ อย่างสง่างาม

          ขอคุณงามความดีทั้งหลาย ที่ผมได้กระทำมาดีแล้ว ได้ย้อนกลับไปที่คุณพรและครอบครัว จงสว่างไสวทั้งทางโลก และทางธรรม จนกว่าพรจะเข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ ในภพในชาตินี้ ด้วยเทอญ

           ขอเจริญในธรรม
           ดร.นนต์ พรรณาแทนบุรุษผู้หนึ่ง
           19 มิถุนายน 2555