วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

(290) สุบินนิมิต ปริศนาธรรม บุรุษนักภาวนา พบคณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร


🌸 สุบินนิมิต ปริศนาธรรม 🌸
🌼  บุรุษนักภาวนา  🌼
🌼 พบคณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร 🌼

      🔸 ท่านทั้งหลาย มีเรื่องราวหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อตอนตีสามของคืนวันพระใหญ่ แรม 14 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งตรงกับวันที่ 26 ตุลาคม 2554  บุรุษผู้หนึ่งได้นั่งภาวนาสมาธิ แล้วต่อด้วยการนอนภาวนาต่อเนื่องจนหลับไป แล้วเกิดภาพนิมิตเห็นคณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ครบทั้งห้าพระองค์  ท่านได้มาแสดงปริศนาธรรมแก่เขาหลายอย่าง โดยมีลำดับเหตุการณ์สำคัญดังนี้

      🔸 ณ ชายป่าแห่งหนึ่ง ขณะที่บุรุษผู้หนึ่งเดินท่องไป พลันได้แลเห็นพระเถระรูปหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า ใจก็รู้ว่า คือ "พระฌาณียะเถระเจ้า" หรือที่รู้จักกันในนาม "หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า" ท่านเรียกให้บุรุษผู้นี้เข้าไปหา พร้อมกับคายคำหมากทิ้งไว้ แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ ท่านกลับหายตัวไป เหลือแต่เนินดินกองใหญ่กลายเป็นขี้เถ้า ประหนึ่งให้เขาพิจารณาว่า ทุกสิ่งล้วนไร้สาระ หาแก่นสารไม่ได้

     🔸 ต่อมา เขาจึงรีบเดินตามหาท่าน แต่กลับเห็นพระเถระอีกองค์หนึ่ง เดินอยู่ข้างหน้าไวๆ ใจก็รู้ว่า คือ "พระภูริยะเถระเจ้า" หรือที่เรียกกันว่า "หลวงปู่หน้าปาน" ท่านได้เดินนำหน้า เขาจึงเดินตามท่านไปอย่างรวดเร็ว จนไปถึงกุฏิเล็กๆหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ท่ามกลางป่า แล้วหลวงปู่ก็หายไป บุรุษผู้นี้จึงเดินอ้อมไปทางด้านข้างของกุฎี จึงได้พบกับพระอุปัฏฐากพระเถระรูปหนึ่ง ท่านพาเดินไปทางด้านหน้าของกุฎี แล้วจึงได้พบกับ "พระโสณเถระเจ้า"

      🔸 พระโสณเถระ ยืนรออยู่บนกุฏิ เมื่อได้พบกันแล้ว ท่านได้ถามบุรุษผู้นี้ว่า... "เธออยากรู้อะไร"...  เขายังไม่ทันได้ตอบคำถามของท่าน ทันใดนั้น ท่านก็ได้โยนพระรูปหนึ่งลงจากกุฏิมาที่บุรุษ เขาจึงต้องรีบรับร่างนั้นเอาไว้ พระองค์ที่ถูกโยนลงมานั้น กลับกลายเป็น "พระอุตรเถระเจ้า" ที่ร่างกายซีดเผือดและแข็งทื่อ เสมือนศพแช่แข็ง พระโสณเถระได้ถามบุรุษต่อไปว่า... "จะพิจารณาว่าอย่างไร"...  เขาตอบท่านไปว่า ... "พิจารณาอสุภะข้าน้อย"...  พระโสณเถระเมตตาบอกต่อไปว่า... "ให้พิจารณาอวิชชานะ"...  บุรุษผู้นี้จึงเอ่ยตามท่านว่า... "พิจารณาอวิชชา ข้าน้อย"...

      🔸 หลังจากนั้น บุรุษผู้นี้หันไปเห็นลูกศิษย์พระเถระ นั่งเฝ้าเรือลำเก่าที่วางอยู่ข้างกุฏิพระโสณเถระเจ้า เขาเชื้อเชิญให้บุรุษเข้าไปพิจารณา บุรุษจึงเข้าไปดูที่เรือ ในเรือนั้นมีหีบพระไตรปิฎกเก่าอยู่หีบหนึ่ง เขาพิจารณาว่า เรือนั้นเปรียบเสมือนพาหนะ ที่บรรทุกพระธรรมหรือพระไตรปิฎก เมื่อได้อาศัยนั่งเรือ (ศึกษาพระธรรม)ไปจนถึงฝั่งแล้ว ไม่มีใครแบกเอาเรือไปด้วย พระธรรมก็เช่นเดียวกัน เพราะพระธรรมเป็นของโลก  อย่างไรก็ตาม ขณะที่บุรุษผู้นี้ กำลังพิจารณาเรือและหีบพระไตรปิฎกอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงปีติยินดีขึ้นมาว่า... "จะยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแบบนี้อยู่อีกหรือ"...

      🔸 หลังจากนั้น บุรุษผู้นี้ ได้เดินวนไปยังอีกสถานที่แห่งหนึ่ง จึงได้พบกับพระหนุ่มรูปหนึ่ง ท่านพาเขาเดินไปหาพระเถระอีกรูปหนึ่ง คือ "พระมุนียะเถระเจ้า" หรือที่รู้จักกันในอีกนามว่า "หลวงปู่อิเกสาโร" แล้วพระหนุ่มองค์ที่พาเขาไป พูดเป็นปริศนากับหลวงปู่ว่า "เหมือนกับกระผมตอนเป็นหนุ่มเมื่อสองร้อยกว่าปี" (คล้ายกันกับว่า ในยุคสมัยนั้น อดีตชาติของบุรุษผู้นี้ ก็เคยเกิดเป็นพระกัมมัฏฐาน เป็นพระสังฆราชา และเป็นผู้นำทำสังคายนาพระไตรปิฎก)

       🔸 หลังจากพระหนุ่มพูดจบลง หลวงปู่อิเกสาโร หันมามองบุรุษแล้วก็พูดว่า... "เออยังหนุ่มยังแน่น และเอาจริง เดี๋ยวจะสงเคราะห์นะ"... แล้วท่านก็พาบุรุษผู้นี้ ไปยังบริเวณข้างลำธาร ที่มีน้ำใสไหลเย็น เพื่อไปฝึกวิชากัมมัฏฐาน หลังจากนั้น เขาก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เพราะจิตและกายของเขา เกิดปีติซาบซ่านไปทั้งตัว จนต้องลุกขึ้นมานั่งภาวนาต่อ พร้อมกับได้นำเอาธรรมนิมิตนั้น มาพิจารณา เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติต่อไป

    🔸 ขอเจริญในธรรม
    🔸 ดร.นนต์ บันทึกแทนบุรุษผู้นั้น
    🔸 27 ตุลาคม 2554

     🍂 ขอขอบคุณเจ้าของภาพเขียน (ไม่ทราบที่มา)

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

(287) โอวาทธรรม หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม




โอวาทธรรม หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม

ท่านทั้งหลาย เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมา ผมได้ไปรับพระมอสเพื่อเดินทางกลับวัดโคกปราสาท หลังจากที่ท่านได้เดินธุดงค์ไปกราบพระอุปัฏฌาจารย์เจ้า หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม ณ วัดกระดึงทอง อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ จึงมีโอกาสได้กราบและฟังธรรมหลวงปู่อย่างใกล้ชิด หลวงปู่มีเมตตาแสดงธรรมพอสรุปได้ว่า

คนเราเกิดมาเพื่ออะไร? คนเราเกิดมามีหน้าที่อยู่สองอย่างคือ 1) เกิดมาทำหน้าที่เพื่อตัวเอง 2) เกิดมาทำหน้าที่เพื่อผู้อื่น จะทำงานการอาชีพอะไร ก็ขอให้ทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต หากเป็นองค์กรหรือหน่วยงาน ต่างคนก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด เมื่อคนในองค์กรต่างช่วยกันขับเคลื่อนไปพร้อมๆกัน ไม่ขัดขวางหรือถ่วงกัน องค์กรนั้นก็จะมีความเจริญ คนเราทำหน้าที่สองอย่างมิใช่จะสำเร็จได้ดีทั้งร้อยเปอร์เซ็น แต่ขอให้ได้อย่างละ 70-80 เปอร์เซ็นก็ดีแล้ว คนเราก็เหมือนกับเครื่องยนต์นั้นแหละ ทำงานก็เหมือนกลไก หากชิ้นส่วนชำรุดเสียหายไป เครื่องยนต์นั้นก็ทำงานไม่ได้ ทั้งระบบมันต้องไปด้วยกัน เกื้อกูลกัน

อนึ่ง... หากพิจารณาโอวาทธรรมของหลวงปู่ มีใจความดุจดังปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดา ที่แสดงไว้ในวันปรินิพพาน ซึ่งมีใจความว่า....

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา 
พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด(อปปมาเทน สมปาเทต)

หลวงปู่เมตตาแสดงธรรมต่อไปว่า ทุกวันนี้คนคอรัปชั่นมีมาก ระบบราชการและการเมืองก็วุ่นวาย ใครได้อำนาจก็แก้ไขกฎระเบียบใหม่ให้พอใจแก่ตัวเอง ยุคใครยุคมัน มันเปลี่ยนแปลงไปตามสมัย หากว่าของเก่าไม่ดีก็แก้ไขให้มันดี หากผู้มีอำนาจรู้จักนำเอาหลักการ "อนุโลม และปฏิโลม" มาใช้ คงลดความวุ่นวายไปได้มาก ข้าราชการหรือนักการเมือง หากใครรู้ตัวว่าตัวเองทำผิด ก็ยอมรับแล้วแก้ไขตัวเองใหม่ให้ถูกต้องเสีย ก็สามารถแต่งตั้งให้มาทำงานใหม่ ก็คงยอมรับกันได้ ผิดก็แก้ให้ถูก ถูกแล้วก็รักษาให้ดีต่อไป "บางครั้งถูกแบบทางโลก แต่ไม่ถูกทางธรรม" ก็อย่าไปทำ ถูกทางธรรมก็คือ ต้องมีความยุติธรรม บ้านเมืองถึงจะเจริญก้าวหน้า

นี่คือโอวาทธรรมของหลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม ที่นับว่าเข้ากับเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันเป็นอย่างดี ก็ลองพิจารณาตามท่านดูนะครับ

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขอโอกาสหลวงปู่อธิบายเพิ่มเติมตามปัญญาที่มีอยู่ว่า โอวาทของหลวงปู่นี้ คงตอบปุจฉาของพระมอสที่ท่านถามพวกเรามาหลังจากที่ท่านได้ฟังธรรมหลวงปู่มาแล้ว ว่า  "เกิดมาเพื่ออะไร?"  จะว่าไปแล้ว วิสัชนานี้ คงเหมาะกับเรื่องทางโลก คือตอบผู้ที่ยังมีหน้าที่ทางโลกอยู่ แต่ปุจฉาจริงๆ ที่หลวงปู่ถามพระมอสก็คือ "บวชมาเพื่ออะไร?" วิสัชนาก็คงไม่ต่างจากทางโลกก็คือ 1) ทำหน้าที่เพื่อตัวเอง เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็มีหน้าที่เพียรละกิเลสของตัวเองให้หมดไป  2) ทำหน้าที่เพื่อผู้อื่น คือ หน้าที่การงานอะไรที่สงฆ์ควรทำในวัดก็ให้ช่วยกันทำ ทำแบบมีสติก็นับเป็นการฝึกสมาธิได้เช่นกัน และเมื่อมีธรรมแล้ว ก็เอาธรรมและบุญกุศลนั้นให้แก่ผู้อื่น อนุเคราะห์สงเคราะห์กันไปตามกำลังที่มี อันนี้ก็คงพอตอบคำถามของพระมอสในเรื่องทางธรรมได้ครับ

หมายเหตุ ผู้เขียนสรุปเรียบเรียงและตกแต่งคำใหม่ คำอาจไม่ตรงกับที่หลวงปู่แสดงมาทั้งหมด แต่ข้อความหลักยังอยู่มากที่สุด จึงขอขมากรรมต่อหลวงปู่ครับ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
20 พฤศจิกายน 2557


ดร.นนต์ ถวายพระบรมสารีริกธาตุแด่หลวงปู่เหลือง เมื่อ 1 กันยายน 2555

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

(284) อัศจรรย์พระอรหันตธาตุของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน






มหัศจรรย์พระอรหันตธาตุ
ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


ท่านทั้งหลาย หลังจากบุรุษผู้หนึ่งได้เจริญภาวนาจนจิตสงบ จิตผุดขึ้นมาระลึกถึงคุณครูอาจารย์พระอรหันตเจ้า จิตปีติในองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาจึงได้อธิษฐานจิตว่า หากข้าพเจ้ามีบุญวาสนาจะได้เจริญทางธรรม ก็ขอให้ได้รับพระธาตุของพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ด้วยเถิด หลังจากที่ได้อธิษฐานจิตในตอนเช้าตรู่เพียงไม่กี่ชั่วโมง พอตอนสายของวันที่ 30 กันยายน 2554 เขาก็ได้รับอังคารธาตุของหลวงตามหาบัว จากลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดของท่านคือ คุณปรัชญา จิตต์ปรัชญา ได้อัญเชิญมาให้เขาถึงที่บ้าน ได้รับอังคารธาตุหลังจากมีพิธีพระราชทานเพลิงสรีระของหลวงตาไม่นาน และหลังจากนั้นก็ได้รับพระธาตุของหลวงตามหาบัวสัณฐานต่างๆ จากคุณหมอท่านหนึ่ง และจากญาติธรรมตามมาอีกหลายครั้ง





คุณปรัชญา จิตต์ปรัชญา


ภายหลังจากได้รับอังคารธาตุของหลวงตามหาบัวเพียงไม่กี่วัน คือเมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม 2554 บุรุษผู้นี้ก็ได้รับพระธาตุของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จำนวนหนึ่งองค์ จากคุณศรุต จันทสกุลเดชา ตอนที่ได้รับมาครั้งแรกนั้น พระธาตุยังมีสัณฐานเป็นทรงกลมสีเหลืองขุ่น แต่หลังจากนั้นเพียง 7 วัน พระธาตุก็ได้กลายเป็นสัณฐานใสดั่งเพ็ชร และขนาดได้ขยายใหญ่ขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ จึงเป็นกำลังใจให้เขาเพียรภาวนาต่อไป




อนึ่ง พระอรหันตธาตุของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ปัจจุบันได้อัญเชิญไปไว้ที่วัดโคกปราสาท เพื่อจะประดิษฐานไว้ในพระบรมเจดีย์พุทธนิมิต วัดโคกปราสาท ต.หลุ่งตะเคียน อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา ที่กำลังก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2558 นี้

นะมัตถุ พุทธานัง
นะมัตถุ โพธิญา
นะโม วิมุตตานัง
นะโม วิมุตติยา

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
13 พฤศจิกายน 2557